คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4215/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าอาจให้เช่าได้เดือนละ 60,000 บาท แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงเดือนละ 5,000 บาท โจทก์มิได้ฎีกา ส่วนจำเลยฎีกาโต้แย้งว่าค่าเสียหายควรต่ำกว่านั้น จึงถือได้ว่าเป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่อาจให้เช่าได้ขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
คำฟ้องโจทก์ตอนท้ายได้บรรยายแล้วว่า โจทก์ประสงค์จะนำที่ดินไปทำประโยชน์โดยทำเป็นท่าเรือขนส่งสินค้า จึงให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งบังหน้าที่ดินของโจทก์ทั้งหมดออกไป และบรรยายฟ้องต่อไปอีกว่า การที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านจำเลยบางส่วนแม้จะปลูกนอกเขตที่ดินโจทก์ แต่บังหน้าที่ดินทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้หน้าที่ดินที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาทำประโยชน์ได้ ขอให้รื้อถอนบ้านจำเลยบางส่วนออกไปจากหน้าที่ดินพิพาทด้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย เป็นกรณีที่โจทก์ได้บรรยายฟ้องแล้วว่า การที่จำเลยใช้สิทธิปลูกบ้านในแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้โจทก์เดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือควรคาดหมายได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1337 ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์บังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านที่ปลูกบังหน้าที่ดินโจทก์ทั้งยังมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าทดแทนจากจำเลยได้อีก จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกบ้านส่วนหนึ่งอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา และอีกส่วนหนึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 8928 ของจำเลย ต่อมาจำเลยได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยจำเลยตกลงว่าจะรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปแต่จำเลยไม่ยอมรื้อถอน โจทก์มีความประสงค์จะใช้ที่ดินดังกล่าวทำเป็นท่าเรือขนส่งและท่าขนส่งทราย แต่โจทก์ไม่สามารถเข้าทำท่าเรือได้เพราะบ้านของจำเลยบางส่วนปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ และบางส่วนแม้จะปลูกนอกเขตที่ดินของโจทก์แต่บังหน้าที่ดินของโจทก์ที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้โจทก์เสียหายเดือนละ 60,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไป รื้อถอนบ้านเลขที่ 786/1 ออกไปจากที่ดินพิพาท และส่วนที่บังหน้าที่ดินของโจทก์ด้านติดแม่น้ำเจ้าพระยา กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 60,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไป
จำเลยให้การว่า จำเลยปลูกบ้านเลขที่ 786/1 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร อยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา มิได้ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ ไม่ได้ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย โจทก์สามารถใช้คลองแฝดเข้าออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 786/1 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ออกไปจากแม่น้ำเจ้าพระยาจนพ้นบริเวณหน้าที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 8928 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ส่วนคำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านออกไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าอาจให้เช่าได้เดือนละ 60,000 บาท แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงเดือนละ 5,000 บาท โจทก์มิได้ฎีกา ส่วนจำเลยฎีกาโต้แย้งว่าค่าเสียหายควรต่ำกว่านั้น จึงถือได้ว่าคดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่อาจให้เช่าได้ขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วว่าบ้านของจำเลยเลขที่ 786/1 ปลูกอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาบังหน้าที่ดินโจทก์ตลอดแนวทางด้านทิศใต้ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาตามแผนที่วิวาทหมาย จ. 6 ระหว่างพิจารณาจำเลยได้รื้อถอนบ้านของจำเลยบางส่วนที่ปลูกอยู่ในที่ดินโจทก์ออกไปแล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้ระหว่างพิจารณาจำเลยรื้อบ้านส่วนที่อยู่ในที่ดินโจทก์ออกไปแล้ว แต่โจทก์ก็ยังคงฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อบ้านส่วนที่ปิดบังหน้าที่ดินโจทก์ออกไปได้อีกนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ตอนท้ายได้บรรยายแล้วว่า โจทก์ประสงค์จะนำที่ดินไปทำประโยชน์โดยทำเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าและท่าเรือขนส่งทราย จึงให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งบังหน้าที่ดินของโจทก์ทั้งหมดออกไป และบรรยายฟ้องต่อไปอีกว่า การที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านจำเลยบางส่วนแม้จะปลูกนอกเขตที่ดินโจทก์ก็ดี แต่ส่วนนี้บังหน้าที่ดินโจทก์ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้หน้าที่ดินที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาทำประโยชน์ได้ ทำให้โจทก์เสียหาย และคำขอท้ายฟ้องโจทก์ข้อที่ 1 ตอนท้ายก็ระบุให้รื้อถอนบ้านจำเลยบางส่วนออกไปจากหน้าที่ดินพิพาทด้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย จากคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เช่นนี้ ไม่ใช่โจทก์จะขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์เท่านั้น แต่เป็นกรณีที่โจทก์ได้บรรยายฟ้องให้เห็นแล้วว่า การที่จำเลยใช้สิทธิปลูกบ้านแม้อยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาก็ตาม แต่เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายเพราะไม่สามารถใช้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าหรือท่าเรือขนส่งทรายได้ ทำให้โจทก์เดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือควรคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรเมื่อคำนึงถึงสภาพและตำแหน่งของที่ดินโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 แล้ว ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิที่จะฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านที่ปลูกบังหน้าที่ดินโจทก์ได้ ทั้งยังมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าทดแทนจากจำเลยได้อีก ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ยังคงฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านส่วนที่ปิดบังหน้าที่ดินโจทก์ออกไปได้นั้น จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาและหาเป็นการพิพากษาเกินคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนปัญหาตามฎีกาของจำเลยเกี่ยวกับค่าทดแทนความเสียหายของโจทก์ ซึ่งจำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาตามที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share