คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4215/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ให้ บ. เช่าโรงภาพยนตร์และเครื่องอุปกรณ์การฉายภาพยนตร์ ต่อมา บ. นำทรัพย์สินดังกล่าวไปให้จำเลยเช่าช่วงโดยได้รับความยินยอมจากโจทก์ จำเลยจึงเป็นผู้เช่าช่วงทรัพย์สินของโจทก์โดยชอบ หาใช่เป็นบริวารของ บ. ไม่ จำเลยต้องรับผิดชำระค่าเช่าให้โจทก์โดยตรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 545 และเมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับ บ. สิ้นสุดลงก็ทำให้สัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยกับ บ. สิ้นสุดลงด้วย จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ชำระค่าเช่าให้โจทก์นับแต่นั้น แต่เมื่อจำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินที่เช่าช่วงอยู่ จำเลยก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์จนถึงวันที่ส่งมอบทรัพย์สินคืนโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์อุดมสุขมีนายบุญชู วัฒนศรีมงคล เป็นผู้เช่าเดิม นายบุญชูให้จำเลยเช่าช่วงโรงภาพยนตร์และอุปกรณ์การฉายภาพยนตร์ต่อไป ทั้งนายบุญชูและจำเลยค้างชำระค่าเช่าตลอดมา โจทก์ได้ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเช่าค้างชำระจากนายบุญชู โจทก์กับนายบุญชูทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยนายบุญชูยอมชำระค่าเช่าที่ค้าง แต่นายบุญชูไม่ชำระและไม่สามารถส่งมอบโรงภาพยนตร์และอุปกรณ์การฉายภาพยนตร์ให้แก่โจทก์ได้ เนื่องจากจำเลยครอบครองอยู่ จำเลยในฐานะผู้เช่าช่วงต้องรับผิดชำระค่าเช่าและค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๘๓๑,๘๕๙ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับชำระค่าเสียหายเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะส่งมอบโรงภาพยนตร์และอุปกรณ์การฉายภาพยนตร์คืนโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาเช่ากับนายบุญชูแต่มิได้เช่าช่วงจากโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยส่งมอบโรงภาพยนต์คืนโจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๘๐๑,๑๒๙.๐๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเงินเสร็จกับให้ชำระเงิน ๗,๘๗๐.๙๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๔๒,๖๖๖.๖๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๗ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาในชั้นฎีกาก็คือจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเช่าและค่าเสียหายให้โจทก์เพียงใดหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวมีข้อควรพิจารณาว่าจำเลยเป็นผู้เช่าช่วงโรงภาพยนต์และเครื่องอุปกรณ์การฉายภาพยนตร์ของโจทก์โดยชอบหรือไม่ ปรากฏตามสัญญาเช่าหมาย จ.๓ ซึ่งนายบุญชู วัฒนศรีมงคล ทำไว้กับโจทก์ว่า ผู้เช่าจะไม่เอาสถานที่เช่าไปให้เช่าช่วงเว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ให้เช่า ต่อมานายบุญชูได้รับอนุญาติเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ ให้นำโรงภาพยนตร์และเครื่องอุปกรณ์การฉายภาพยนต์ของโจทก์ไปให้เช่าช่วงได้ตามหนังสือหมาย จ.๔ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๒๒ นายบุญชูจึงให้จำเลยเช่าช่วงทรัพย์สินดังกล่าวของโจทก์ตามสัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๕ ดังนั้นจำเลยจึงเป็นผู้เช่าช่วงทรัพย์สินดังกล่าวของโจทก์โดยชอบและต้องรับผิดต่อโจทก์โดยตรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๔๕ จำเลยหาใช่เป็นบริวารของนายบุญชูไม่ จำเลยต้องชำระค่าเช่าให้โจทก์โดยตรงตามบทมาตราดังกล่าว จำเลยค้างชำระค่าเช่าให้โจทก์ตั้งแต่เมื่อใดนั้น จำเลยเบิกความว่าไม่ทราบว่าค้างชำระค่าเช่าหรือไม่ การชำระค่าเช่ามีใบเสร็จรับเงิน แต่จำเลยไม่ได้แสดงใบเสร็จรับเงินต่อศาลเลย ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยและนายบุญชูยังไม่ได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๒๕ เป็นต้นมา นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์คัดค้านในข้อนี้จึงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าจำเลยไม่ชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๒๕ เป็นต้นมา สัญญาเช่าหมาย จ.๓ ระหว่างโจทก์และนายบุญชูสิ้นสุดในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๕ และโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่านี้เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าโดยบอกเลิกไว้ล่วงหน้าตามหนังสือหมาย จ.๗ ลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๒๕ ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ๑๓๖๖๔/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น ดังนั้นสัญญาเช่าระหว่างโจทก์และนายบุญชูจึงสิ้นสุดลงในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๕ ซึ่งทำให้สัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยและนายบุญชูสิ้นสุดลงในวันเดียวกันนี้ด้วย เพราะเมื่อนายบุญชูไม่มีสิทธิเช่าต่อไปแล้ว นายบุญชูย่อมไม่มีสิทธิให้จำเลยเช่าช่วงต่อไปด้วย เมื่อสัญญาเช่าช่วงสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๕ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ชำระค่าเช่าให้โจทก์นับแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๒๕ เป็นต้นไป ดังนั้น เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๒๕ จึงไม่ถือว่าจำเลยค้างชำระค่าเช่าให้โจทก์แต่อย่างใด แต่เมื่อจำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินที่เช่าช่วงตลอดมาจนถึงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๗ จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์นับแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๒๕ ถึงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๗ สำหรับค่าเสียหายเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๕ นั้น เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท ตามที่โจทก์เรียกร้องและตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับนายบุญชูในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๓๖๖๔/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น ส่วนค่าเสียหายนับแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๒๕ ถึงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๗ นั้น เห็นสมควรกำหนดให้ในอัตราเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท ตามที่โจทก์ขอ เพราะหากโจทก์ให้นายบุญชูเช่าต่อไป โจทก์ก็จะได้ค่าเช่าในอัตราเดียวกันนี้ ดังนั้นค่าเสียหายตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๒๕ ถึงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๒๗ อันเป็นวันก่อนวันฟ้องเป็นเวลา ๑๙ เดือน กับ ๒๘ วัน เป็นค่าเสียหาย ๗๙๖,๑๒๙.๐๓ บาท รวมค่าเสียหายถึงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๒๗ ทั้งสิ้น ๘๐๑,๑๒๙.๐๓ บาท กับค่าเสียหายตั้งแต่วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๒๗ ถึงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๗ อีก ๖ วัน เป็นเงิน ๗,๘๗๐.๙๗ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share