คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1851/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วันเกิดเหตุ เวลากลางคืน รถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายที่ 1 จอดไว้ในห้องทำงาน สถานีบริการน้ำมันของผู้เสียหายที่ 2 และน้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ เครื่องคิดเลข วิทยุ กับกล้องวงจรปิดของผู้เสียหายที่ 2 ถูกคนร้ายลักไป ต่อมาเวลาประมาณ 6 นาฬิกา มีผู้พบเห็นรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวจอดอยู่ที่หน้ามัสยิดของหมู่บ้านโดยมีเสื้อคลุม น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ เครื่องคิดเลข และวิทยุที่วางไว้ในตะกร้าหน้ารถจึงแจ้งให้ ม. ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านทราบ ม. ไปดูรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว สักครู่หนึ่งจำเลยจะมาเอารถจักรยานยนต์ไป ม. ขอดูบัตรประจำตัวประชาชนและกุญแจรถ จำเลยไม่มี ม. บอกให้จำเลยไปเอากุญแจรถมาก่อน จำเลยจึงกลับไป พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยต้องรู้ดีว่ารถจักรยานยนต์และทรัพย์ที่ตะกร้าหน้ารถที่จำเลยจะไปเอานั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดเข้าลักษณะลักทรัพย์ เมื่อจำเลยจะไปเอาทรัพย์ดังกล่าวอันเป็นการช่วยพาเอาไปเสียตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคแรก แต่ไม่สามารถเอาไปได้เพราะ ม. เข้าขัดขวางโดยให้จำเลยไปเอากุญแจรถมาก่อน การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการลงมือกระทำความผิดฐานรับของโจร แต่กระทำไปไม่ตลอด จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามรับของโจร แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษข้อหารับของโจร แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณารับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามรับของโจร ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้
จำเลยกระทำผิดฐานพยายามรับของโจรรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กยน ปัตตานี 484 ของผู้เสียหายที่ 1 ฉะนั้น น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ เครื่องคิดเลข และวิทยุของผู้เสียหายที่ 2 ที่ถูกคนร้ายลักไปกับกล้องวงจรปิดย่อมไม่ใช่ทรัพย์ที่ผู้เสียหายที่ 2 สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 336 ทวิ, 357 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคากล้องวงจรปิดเป็นเงิน 10,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 3 ปี ให้จำเลยคืนกล้องวงจรปิดหรือใช้ราคา 10,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหายที่ 2
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ของวันที่ 10 มีนาคม 2552 หลังจากนางปรางทอง ผู้เสียหายที่ 1 เจ้าหน้าที่การบัญชีและการเงินของสถานีบริการน้ำมันสหกรณ์การเกษตรโคกโพธิ์ จำกัด ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลนาเกตุ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ปิดห้องทำงานโดยเก็บรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กยน ปัตตานี 484 ของสามีที่ขับมาทำงานไว้ในห้องแล้ว ได้เข้านอนที่ห้องพักเวรห่างออกไปประมาณ 10 เมตร ต่อมาเวลาประมาณ 5 นาฬิกา เมื่อคนงานมาทำงานตอนเช้า พบว่าห้องทำงานถูกงัดรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายที่ 1 จอดไว้ และสินค้าบางอย่าง คือ น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ 2 กระป๋อง เครื่องคิดเลข 1 เครื่อง วิทยุ 1 เครื่อง หายไป กล้องวงจรปิดด้านหลังห้องทำงานก็ถูกถอดออกตามภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุ จึงรีบแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรโคกโพธิ์ให้มาตรวจสถานที่เกิดเหตุ วันเดียวกันเวลาประมาณ 6 นาฬิกา มีผู้พบเห็นรถจักรยานยนต์คันที่หายไปจอดอยู่ที่หน้ามัสยิดของหมู่บ้านห่างจากสถานีบริการน้ำมันประมาณ 1 กิโลเมตร โดยมีเสื้อคลุม น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ เครื่องคิดเลข และวิทยุไว้ที่ตะกร้าหน้ารถตามภาพถ่ายของกลางคดีอาญา ชาวบ้านใกล้เคียงเห็นเป็นพิรุธ ได้แจ้งให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านซึ่งอยู่ที่ร้านน้ำชาใกล้มัสยิดทราบ ครู่หนึ่งมีชายวัยรุ่นคนหนึ่งขับรถจักรยานยนต์จะมาเอารถจักรยานยนต์คันที่จอดอยู่ แต่เมื่อผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านสอบถามหลักฐานและชายดังกล่าวไม่มีหลักฐานใดแสดงแล้วก็ขับรถจักรยานยนต์ออกจากมัสยิด เวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าพนักงานตำรวจพบจำเลยที่สถานีบริการน้ำมันหน้าค่ายอิงคยุทธ จังหวัดปัตตานี จึงเรียกให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาดู ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเห็นแล้วยืนยันว่า จำเลยคือชายวัยรุ่นที่จะไปเอารถจักรยานยนต์คันที่จอดอยู่หน้ามัสยิด เจ้าพนักงานตำรวจจึงควบคุมจำเลยส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 และทรัพย์ของสหกรณ์การเกษตรโคกโพธิ์ จำกัด ผู้เสียหายที่ 2
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีความผิดฐานรับของโจรตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีนายมะ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นพยานเบิกความว่า ชายวัยรุ่นที่จะมาเอารถจักรยานยนต์ซึ่งจอดอยู่หน้ามัสยิดคือจำเลย เห็นว่า นายมะเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านไม่รู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องได้รับโทษ คำเบิกความของนายมะจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ระยะเวลาที่สอบถามและพูดคุยกับจำเลย นายมะเบิกความตอบศาลว่าได้พูดคุยอยู่หลายนาที หลังจากจำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกจากมัสยิดไปได้ไม่นาน นายมะก็ไปดูตัวจำเลยที่สถานีบริการน้ำมันหน้าค่ายอิงคยุทธ จึงไม่มีเหตุผลใดที่นายมะจะจำจำเลยไม่ได้ แม้ขณะนั้นจำเลยจะใส่เสื้อสีฟ้า แต่ก็มีเสื้อสีแดงซุกซ่อนอยู่ใต้เบาะรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมา พิเคราะห์พฤติการณ์แล้ว ข้อเท็จจริงย่อมฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยคือผู้ที่จะไปเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 ที่จอดอยู่หน้ามัสยิดดังคำของนายมะจริง ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยเพิ่งมาจากบ้านนายมะรีเป็งและกำลังจะไปบ้านมารดาที่อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ทำนองว่าไม่รู้เห็นกับการจะไปเอารถจักรยานยนต์ที่มัสยิดเลยนั้นไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ จากคำของนายมะได้ความว่า จำเลยจะไปเอารถจักรยานยนต์ที่หน้ามัสยิดโดยไม่มีกุญแจรถ พยานในฐานะผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจึงบอกให้ไปเอากุญแจรถมาก่อน แสดงว่าจำเลยต้องรู้ดีว่ารถจักรยานยนต์และทรัพย์ที่ตะกร้าหน้ารถที่จำเลยจะไปเอานั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดเข้าลักษณะลักทรัพย์ เมื่อจำเลยจะไปเอาทรัพย์ดังกล่าวอันเป็นการช่วยพาเอาไปเสียตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก แต่ไม่สามารถเอาไปได้เพราะนายมะผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเข้าขัดขวางโดยให้จำเลยไปเอากุญแจรถมาก่อน การกระทำของจำเลยถือได้ว่า เป็นการลงมือกระทำความผิดฐานรับของโจร แต่กระทำไปไม่ตลอด จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามรับของโจร แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษข้อหารับของโจร แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณารับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามรับของโจรศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้องโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนกล้องวงจรปิดที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคานั้น เห็นว่า เมื่อฟังว่าจำเลยกระทำผิดฐานพยายามรับของโจรรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กยน ปัตตานี 484 ของผู้เสียหายที่ 1 น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ เครื่องคิดเลข และวิทยุของผู้เสียหายที่ 2 ที่ถูกคนร้ายลักไปแล้ว กล้องวงจรปิดย่อมไม่ใช่ทรัพย์ที่ผู้เสียหายที่ 2 สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 ลงโทษจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share