คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 344/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตามโฉนดที่ดินแปลงที่พิพาทเดิมจะมีชื่อจ.และจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันโดยในโฉนดมิได้บรรยายส่วนของแต่ละคนไว้ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1357ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่าใดก็ตามแต่ก็หาเป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาดไม่ถ้าผู้เป็นเจ้าของรวมคนใดสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนมีส่วนเป็นเจ้าของในส่วนใดเท่าใดแล้วเจ้าของรวมคนนั้นก็จะเป็นเจ้าของในส่วนนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่โฉนดเลขที่ 22 เนื้อที่ 47 ไร่ 1 งาน3 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยกับนายจัน มารูปหมอก คนละครึ่งเนื้อที่ 23 ไร่ 2 งาน 52 ตารางวา โดยจำเลยครอบครองที่ดินทางด้านทิศเหนือ ส่วนนายจัน บิดาโจทก์ทั้งสามครอบครองที่ดินทางด้านทิศใต้หลังจากนายจันถึงแก่ความตายโจทก์ทั้งสามได้รับมรดกที่ดินเฉพาะส่วนของนายจันเมื่อปี 2531 โจทก์ทั้งสามประสงค์จะแบ่งแยกที่ดิน แต่จำเลยไม่ยินยอม ขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 22 เนื้อที่ 23 ไร่ 2 งาน 52 ตารางวา ภายในเส้นสีแดงในแผนที่ท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งสาม หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 22 เนื้อที่ 47 ไร่1 งาน 4 ตารางวา เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายรอบหรือลอบ มารูปหมอกซึ่งเป็นบิดาของจำเลยและนายจัน ก่อนนายรอบหรือลอบถึงแก่ความตายได้ทำพินัยกรรมแบ่งที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยเนื้อที่ 32 ไร่ ส่วนที่เหลือเนื้อที่ 15 ไร่ 1 งาน 4 ตารางวาให้แก่นายจัน หลังจากนั้นนายจันและจำเลยได้ครอบครองที่ดินตามพินัยกรรมดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี หลังจากนายรอบหรือลอบถึงแก่ความตายแล้วจำเลยและนายจันใส่ชื่อรับมรดกในที่ดินดังกล่าวแต่ไม่ได้บรรยายส่วนตามพินัยกรรม เพราะถือตามพินัยกรรมเป็นหลักซึ่งได้มีการแบ่งส่วนกันชัดแจ้งแล้วโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทของนายจันจึงรับเฉพาะส่วนของนายจัน เนื้อที่ 15 ไร่ 1 งาน4 ตารางวา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนด เลขที่ 22จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 68 ตารางวา พื้นที่ภายในเส้นประสีแดงในเอกสารหมาย ล.3 เมื่อหักที่ดินส่วนที่พิพาทภายในเส้นสีม่วงออกแล้วให้แก่โจทก์ทั้งสาม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
โจทก์ ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ทั้ง สาม ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เดิมนายรอบหรือลอบและนางบุญ มารูปหมอก สามีภริยาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 22 เนื้อที่ 47 ไร่ 1 งาน 4 ตารางวาร่วมกัน นายรอบหรือลอบและนางบุญเป็นบิดามารดาของจำเลยและนายจัน มารูปหมอก นายจันเป็นบิดาของโจทก์ทั้งสาม เมื่อนายรอบหรือลอบและนางบุญถึงแก่ความตาย จำเลยและนายจันมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในฐานะเป็นทายาท ในโฉนดมิได้บรรยายส่วนของแต่ละคนไว้ ต่อมานายจันถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสามมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แทนนายจันในฐานะเป็นทายาทของนายจัน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามมีว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 22 เนื้อที่47 ไร่ 4 ตารางวา จำนวนเท่าใด โจทก์ทั้งสามฎีกาสรุปว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจำนวนครึ่งหนึ่งนั้นเห็นว่า แม้ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.1 เดิมจะมีชื่อนายจันและจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โดยในโฉนดมิได้บรรยายส่วนของแต่ละคนไว้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากันก็ตามแต่ก็หาเป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาดไม่ กล่าวคือ ถ้าผู้เป็นเจ้าของรวมคนใดสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนมีส่วนเป็นเจ้าของในส่วนใดเท่าใดแล้วเจ้าของรวมคนนั้นก็จะเป็นเจ้าของในส่วนนั้น และวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายรอบหรือลอบได้ทำพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งตามพินัยกรรมฉบับดังกล่าวได้ระบุยกที่ดินโฉนดเลขที่ 22 ให้จำเลยเนื้อที่ 32 ไร่ ข้อนำสืบของจำเลยโดยมีตัวจำเลยนายสอดา ใจโอบอ้อม กำนันตำบลดอมมะเกลือ นายรวยยอยรู้รอบ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นายหัด เลี่ยมใจดี และนายสายโก้รูดี เจ้าของที่ดินข้างเคียงเบิกความเป็นพยานประกอบแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ล.3 ว่า เนื้อที่ดินภายในเส้นสีเขียวเป็นส่วนที่นายรอบหรือลอบยกให้ตามพินัยกรรม และจำเลยครอบครองทำนามาตลอดเนื้อที่ประมาณ 32 ไร่ ซึ่งสอดคล้องตรงกับเนื้อที่ดินที่ระบุในพินัยกรรม พยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์ทั้งสาม ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินเนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวา โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของที่ดินเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 68 ตารางวา ตามที่จำเลยและโจทก์ทั้งสามครอบครองโดยมีแนวเขตที่ปรากฏในแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ล.3
พิพากษายืน

Share