คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 มีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ให้เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เพื่อให้โจทก์มีสิทธิที่จะเข้าไปจัดรายการสดที่สถานีวิทยุของจำเลยที่ 1 โดยถูกต้องตามระเบียบที่กำหนดไว้เท่านั้นมิใช่เป็นการแสดงออกซึ่งเจตนาที่จะให้โจทก์เข้าไปเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 แต่ประการใด และงานที่โจทก์ทำในสถานีของจำเลยที่ 1เป็นงานจัดรายการสดซึ่งผู้จัดรายการได้ซื้อเวลาออกอากาศของจำเลยที่ 1 ไป และเมื่อมีการซื้อเวลาออกอากาศไปแล้ว ผู้ซื้อเวลาออกอากาศจะจัดรายการออกอากาศอย่างไร จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจควบคุมการปฏิบัติงานของผู้จัดรายการ ดังนั้น งานที่โจทก์ทำโดยแท้จริงคือการจัดรายการสด ซึ่งงานนี้แม้จะทำในสถานที่ของจำเลยที่ 1 แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ขายเวลาในการจัดรายการให้ผู้ซื้อไปแล้ว งานจัดรายการจึงมิใช่งานของจำเลยที่ 1 แต่เป็นงานของผู้ที่ซื้อเวลาไป โจทก์เป็นผู้หนึ่งที่ซื้อเวลาออกอากาศไปจากจำเลยที่ 1 ดังนั้น การทำงานจัดรายการสดจึงมิใช่งานที่โจทก์ทำให้แก่จำเลยที่ 1 จึงไม่มีกรณีที่จะถือได้ว่าโจทก์ได้รับเงินจากจำเลยที่ 1เป็นการตอบแทนการทำงานอันจะถือว่าเป็นค่าจ้างตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์ และโจทก์มิได้ทำงานให้แก่จำเลยที่ 1 นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1จึงไม่ใช่ฐานะลูกจ้างและนายจ้าง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย โดยจำเลยแต่งตั้งให้โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ประกาศ ฝ่ายการโฆษณา แผนกรายการประจำสถานีวิทยุกระจายเสียงทหารอากาศ 09 อุดรธานี ได้รับเงินค่าจ้างเดือนละ 200 บาท เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2533 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินบำเหน็จเหตุเกษียณอายุสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าชดเชย ค่าจ้างขั้นต่ำค้างจ่าย ค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์และวันหยุดตามประเพณี ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และค่าเสียหาย พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นลูกจ้างของจำเลยทั้งสามจำเลยให้โจทก์มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่สถานีวิทยุกระจายเสียง เพื่อโจทก์จะได้มีสิทธิจัดรายการสดและได้เปอร์เซ็นต์จากค่าโฆษณาการที่จำเลยให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งจึงมิใช่เป็นการเลิกจ้าง และต่อสู้คดีอีกหลายประการ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 มีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ให้เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เพื่อให้โจทก์มีสิทธิที่จะเข้าไปจัดรายการสดที่สถานีวิทยุของจำเลยที่ 1 ได้ตามระเบียบที่จำเลยที่ 1 ได้วางไว้ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่า ที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์นั้นเป็นการออกคำสั่งเพียงเพื่อให้โจทก์ได้เข้าไปทำงานในสถานีวิทยุของจำเลยที่ 1 โดยถูกต้องตามระเบียบที่กำหนดไว้เท่านั้น มิใช่เป็นการแสดงออกซึ่งเจตนาที่จะให้โจทก์เข้าไปเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1แต่ประการใด และในเรื่องงานที่โจทก์ทำในสถานีของจำเลยที่ 1ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นงานจัดรายการสดซึ่งผู้จัดรายการได้ซื้อเวลาออกอากาศของจำเลยที่ 1 ไป และเมื่อมีการซื้อเวลาออกอากาศไปแล้วผู้ซื้อเวลาออกอากาศจะจัดรายการออกอากาศอย่างไรจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจควบคุมการปฏิบัติงานของผู้จัดรายการ ดังนั้นงานที่โจทก์ทำโดยแท้จริงคือการจัดรายการสด ซึ่งงานนี้แม้จะทำในสถานที่ของจำเลยที่ 1 แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ขายเวลาในการจัดรายการให้ผู้ซื้อไปแล้ว งานจัดรายการจึงมิใช่งานของจำเลยที่ 1 แต่เป็นงานของผู้ที่ซื้อเวลาไป โจทก์ก็เป็นผู้หนึ่งที่ซื้อเวลาออกอากาศไปจากจำเลยที่ 1 ดังนั้น การทำงานจัดรายการสดจึงมิใช่งานที่โจทก์ทำให้แก่จำเลยที่ 1 จึงไม่มีกรณีที่จะถือได้ว่าโจทก์ได้รับเงินจากจำเลยที่ 1 เป็นการตอบแทนการทำงานอันจะถือว่าเป็นค่าจ้างตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาจะทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์ และโจทก์มิได้ทำงานให้แก่จำเลยที่ 1 เช่นนี้ นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ฐานะลูกจ้างและนายจ้าง ทั้งการที่จำเลยที่ 1จ่ายค่าพาหนะหรือเงินค่าแรงพิเศษเพียงเล็กน้อยให้โจทก์ศาลแรงงานกลางก็ฟังว่ามิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานแต่โจทก์มีรายได้จากการจัดรายการสดของโจทก์เองเดือนละไม่ต่ำกว่า20,000 บาท กรณีเห็นได้ว่าโจทก์มิได้อยู่ในฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาเงินต่าง ๆ ตามฟ้องอันเป็นเงินที่จะเรียกร้องได้ก็ต่อเมื่อมีฐานะเป็นลูกจ้าง
พิพากษายืน.

Share