แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำให้การจำเลยและจำเลยร่วมที่ว่า นอกจากจำเลยจะให้การไว้โดยชัดแจ้งแล้ว จำเลยขอให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ทั้งสิ้น เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ส่วนใด ด้วยเหตุผลอย่างใด ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยและจำเลยร่วมให้การปฏิเสธข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับการที่จำเลยชำระค่าหุ้นที่ค้างชำระแล้วหรือไม่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าหุ้นค้างชำระแก่จำเลยร่วม จำเลยมิได้ต่อสู้ว่า จำเลยชำระค่าหุ้นค้างชำระแก่จำเลยร่วมแล้ว คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยชำระค่าหุ้นแก่จำเลยร่วมครบถ้วนแล้วหรือไม่ ไม่เป็นประเด็นที่จำเลยและจำเลยร่วมต้องนำสืบ แม้จำเลยจะนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเงินของจำเลยชำระหนี้แก่ธนาคารว่าเป็นการนำเงินค่าหุ้นค้างชำระของจำเลยไปชำระ ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความจะต้องนำสืบ ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (1)
จำเลยยังไม่ชำระค่าหุ้นตามฟ้องแก่จำเลยร่วมและจำเลยร่วมไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้แก่โจทก์ และผู้ชำระบัญชีของจำเลยร่วมขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้เจ้าหนี้คือโจทก์เสียเปรียบ โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 233
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัทศิลาเขื่อนเพชร จำกัด
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกบริษัทศิลาเขื่อนเพชร จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยและจำเลยร่วมให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าหุ้นที่ค้างชำระ 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับจากวันที่ 27 ตุลาคม 2552 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยร่วม กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมและค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยร่วมจดทะเบียนเลิกบริษัทเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี จำเลยเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้ชำระบัญชีของจำเลยร่วม จำเลยร่วมเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1050/2552 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาให้จำเลยร่วมชำระเงิน 5,312,789 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่จำเลยร่วมไม่ชำระเงินดังกล่าว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาว่า จำเลยและจำเลยร่วมให้การในข้อ 1 ว่า “นอกจากจำเลยจะให้การไว้โดยชัดแจ้งแล้ว จำเลยขอให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ทั้งสิ้น” มีความหมายรวมถึงปฏิเสธคำฟ้องของโจทก์ที่ได้ฟ้องเป็นคดีมาทั้งสิ้นไม่ว่าประเด็นใดๆ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยและจำเลยร่วมจะให้การดังกล่าวก็ตาม คำให้การนั้นเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยและจำเลยร่วมปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ส่วนใด ด้วยเหตุผลอย่างใด ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยและจำเลยร่วมให้การปฏิเสธข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับการที่จำเลยชำระค่าหุ้นที่ค้างชำระแล้วหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยและจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมต่อไปมีว่า จำเลยและจำเลยร่วมได้อ้างพยานหลักฐานโดยปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 และ 90 โดยครบถ้วนแล้ว ถือว่าพยานหลักฐานที่นำสืบสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าหุ้นค้างชำระแก่จำเลยร่วม จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า จำเลยชำระค่าหุ้นค้างชำระแก่จำเลยร่วมแล้ว คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยชำระค่าหุ้นแก่จำเลยร่วมครบถ้วนแล้วหรือไม่ ไม่เป็นประเด็นที่จำเลยและจำเลยร่วมต้องนำสืบ แม้จำเลยจะนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเงินของจำเลยชำระหนี้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ว่าเป็นการนำเงินค่าหุ้นค้างชำระของจำเลยไปชำระ ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความจะต้องนำสืบ ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (1) ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยค้างชำระค่าหุ้นแก่จำเลยร่วม 10,000,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า พยานเอกสารที่คู่ความต้องยื่นบัญชีระบุพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 และยื่นต่อศาลกับส่งให้คู่ความฝ่ายอื่นซึ่งสำเนาเอกสารดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 นั้น เป็นกรณีของการสืบพยานซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี มิใช่ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดีได้นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมประการสุดท้ายมีว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าหุ้นที่ค้างชำระแก่จำเลยร่วมเป็นการไม่ชอบ เนื่องจากจำเลยร่วมยังมีทรัพย์สินอื่นและยังไม่ได้ถูกยึดทรัพย์เพื่อบังคับคดี โจทก์ต้องดำเนินการบังคับคดีโดยมิต้องนำคดีมาฟ้องใหม่นั้น เห็นว่า โจทก์มีนายยงยุทธ กรรมการผู้จัดการโจทก์ เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยร่วมทราบคำพิพากษาและคำบังคับของศาลชั้นต้นแล้ว แต่จำเลยร่วมเพิกเฉย โจทก์ได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยร่วมเพื่อยึดทรัพย์มาชำระหนี้แต่ปรากฏว่าไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้ ตามหมายบังคับคดีและคำขอตรวจรายชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน และผู้ชำระบัญชีของจำเลยร่วมเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยร่วมชำระค่าหุ้นที่ค้างชำระเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ ส่วนจำเลยและจำเลยร่วมไม่นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยร่วมไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยยังไม่ชำระค่าหุ้นตามฟ้องแก่จำเลยร่วมและจำเลยร่วมไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้แก่โจทก์ และผู้ชำระบัญชีของจำเลยร่วมขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้เจ้าหนี้คือโจทก์เสียเปรียบ โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 ฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ