คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เท่านั้นที่ให้การต่อสู้ว่าฟ้องเคลือบคลุมโดยระบุเจาะจงลงไปด้วยว่าเคลือบคลุมเฉพาะการคำนวณดอกเบี้ยของโจทก์ การที่จำเลยทั้งสามฎีกาไปถึงฟ้องข้ออื่นว่าเคลือบคลุมแม้ศาลล่างจะวินิจฉัยให้ ก็เป็นเรื่องนอกประเด็นต่อสู้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าโจทก์คำนวณดอกเบี้ยกับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ซึ่งแนบสำเนาภาพถ่ายสัญญาดังกล่าวและบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยที่ ๑ ประกอบไว้ท้ายฟ้องส่วนการคำนวณดอกเบี้ยกับจำเลยที่ ๒ โจทก์ก็บรรยายว่าเป็นหนี้ตามตั๋วแลกเงินของจำเลยที่ ๑ ที่โจทก์ต้องชำระแทนไปโดยหยิบยกขึ้นแสดงรายละเอียดเป็นรายฉบับว่ามีหนี้จำนวนเท่าใด คิดดอกเบี้ยอัตราเท่าใด ในช่วงเวลาไหน เป็นการบรรยายฟ้องถึงการคำนวณดอกเบี้ยของโจทก์โดยแจ้งชัด ฟ้องโจทก์ส่วนนี้ไม่เคลือบคลุม
เมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ ๑ ทำไว้กับโจทก์ครบกำหนดแล้วมีการปฏิบัติตามสัญญาต่อมาอีก สัญญาดังกล่าวจึงยังคงใช้บังคับระหว่างกันโดยไม่มีกำหนด คำขอของจำเลยที่ ๒ที่ขอให้โจทก์รับรองตั๋วแลกเงินก็ไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้เท่ากับโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งสองแล้วสัญญาดังกล่าวจึงสิ้นสุดลง เมื่อจำเลยทั้งสองผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยที่ ๓ ผู้ค้ำประกันและจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ ๑ นำเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันครั้งสุดท้ายวันที่ ๕สิงหาคม ๒๕๒๔ หลังจากนั้นไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีอีก ต่อมาโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันได้รับหนังสือบอกกล่าว จำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วไม่ชำระหนี้ ถือได้ว่าผิดนัด และสัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงในวันครบกำหนดตามหนังสือบอกกล่าว
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินน้อยกว่าจำนวนที่จำเลยจะต้องรับผิด แต่โจทก์ไม่ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยรับผิดเกินกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นเงิน ๒,๕๘๖,๑๖๗.๗๒ บาท จำเลยที่ ๒ ขอให้โจทก์รับรองตั๋วแลกเงินของจำเลยที่ ๒ และชำระเงินให้แก่ผู้ทรงตั๋วดังกล่าวแทน แล้วจำเลยที่ ๒ จะชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยซึ่งโจทก์ได้ชำระเงินตามตั๋วแลกเงินของจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้รับรองไปรวม ๑๑ ฉบับ เป็นเงิน ๔๔๐,๙๘๒.๘๙ บาท จำเลยที่ ๒ ไม่ชำระคืนให้โจทก์ เมื่อรวมดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน ๕๓๘,๒๘๖.๙๕ บาท จำเลยที่ ๓ นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจำนองแก่โจทก์ เพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ในวงเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ ๒ และของตนเองในวงเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ ๓ ไถ่ถอนจำนองและให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน๒,๕๘๖,๑๖๗.๗๒ บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน ๕๓๘,๒๘๖.๙๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ หรือชำระหนี้ไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ หากยังไม่ครบให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ผิดสัญญาโจทก์ให้สิทธิจำเลยทั้งสองเบิกเงินเกินวงเงินที่กำหนดไว้ในสัญญาแต่กลับปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คของจำเลยที่ ๑ และไม่รับรองตั๋วแลกเงินของจำเลยที่ ๒ ทำให้จำเลยที่ ๒ เสียหาย โจทก์หลอกลวงให้จำเลยที่ ๓ ลงชื่อในกระดาษเปล่าแล้วนำไปพิมพ์ข้อความว่าจำเลยที่ ๓ ถอนการค้ำประกัน โจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อกลั่นแกล้งจำเลย จำนวนหนี้และดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีโดยให้นำดอกเบี้ยทบต้นที่คิดเกินในอัตราร้อยละ ๓ ของหนี้รับรองตั๋วแลกเงินมาหักออกจากจำนวนเงิน ๒,๐๑๕,๗๘๑.๘๐ บาท ก่อนเมื่อได้ยอดเงินเท่าใดให้ถือเป็นจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ ต้องชำระพร้อมดอกเบี้ย นับตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๔ จนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินจำนวน ๕๓๘,๑๑๙.๕๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ชำระหนี้จำนวนดังกล่าวและไถ่ถอนจำนองกับโจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองมาขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ หากไม่ครบให้ยึดทรัพย์สินอื่นจนครบ
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ชำระหนี้จำนวน ๒,๑๕๓,๑๙๓.๔๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๖ สิงหาคม๒๕๒๔ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า
๑. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
๒. โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
๓. จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์เพียงใด
ตามปัญหาข้อ ๑ พิเคราะห์คำให้การของจำเลยทั้งสามตลอดแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เท่านั้นที่ต่อสู้ว่าฟ้องเคลือบคลุมโดยระบุเจาะจงลงไปด้วยว่าเคลือบคลุมเฉพาะการคำนวณดอกเบี้ยของโจทก์ข้อเดียว ดังนั้น ที่จำเลยทั้งสามฎีกาไปถึงฟ้องข้ออื่นว่าเคลือบคลุมแม้ศาลล่างจะวินิจฉัยมาแล้วก็ตาม ก็เป็นเรื่องนอกประเด็นที่ต่อสู้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ สำหรับเรื่องการคำนวณดอกเบี้ยนี้ปรากฏในฟ้องแล้วว่ามีหลักในการคำนวณกับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ซึ่งแนบสำเนาภาพถ่ายสัญญาดังกล่าวและบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยที่ ๑ ประกอบไว้ท้ายฟ้อง ส่วนการคำนวณกับจำเลยที่ ๒ โจทก์ก็ได้บรรยายว่าเป็นหนี้ตามตั๋วแลกเงินของจำเลยที่ ๑ ที่โจทก์ต้องชำระแทนไปโดยหยิบยกขึ้นแสดงโดยละเอียดเป็นรายฉบับว่า มีหนี้จำนวนเท่าใดคิดดอกเบี้ยอัตราเท่าใดในช่วงเวลาไหน ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการคำนวณดอกเบี้ยของโจทก์ไว้โดยแจ้งชัดแล้ว ฟ้องของโจทก์ส่วนนี้จึงไม่เคลือบคลุม
ตามปัญหาข้อ ๒ ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์จำเลยตรงกันว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ ๑ ทำไว้กับโจทก์ ครบกำหนดวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๒๔ ตามเอกสารหมาย จ.๖ และมีการปฏิบัติตามสัญญาต่อมาอีก สัญญาดังกล่าวจึงยังคงบังคับใช้ระหว่างกันไปโดยไม่มีกำหนด ส่วนคำขอของจำเลยที่ ๒ ที่ขอให้โจทก์รับรองตั๋วแลกเงินก็ไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดเช่นกันตามเอกสารหมาย จ.๘ ดังนั้น เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ชำระหนี้แล้วตามเอกสารหมายจ.๑๔, จ.๑๖, จ.๑๗ ก็เท่ากับโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ที่ ๒ แล้ว สัญญาดังกล่าวจึงสิ้นสุดลง เมื่อจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์จึงผิดสัญญา จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันและจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ตามเอกสารหมาย จ.๙ถึง จ.๑๓ จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยทั้งสองด้วย ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่านายวีระพันธุ์ กุสุมก์ กลั่นแกล้งโดยทำหลักฐานเท็จว่าจำเลยที่ ๓ ขอถอนหลักประกันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องคดีนี้นั้น จำเลยมีจำเลยที่ ๑ ปากเดียวเบิกความอย่างลอย ๆ เท่านั้น จึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานโจทก์ จะรับฟังตามฎีกาหาได้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามได้
ส่วนปัญหาว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์เพียงใดนั้น เห็นว่าตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๗ จำเลยที่ ๑ นำเงินเข้าบัญชีครั้งสุดท้ายวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๒๔ หลังจากนั้นไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีอีกจนกระทั่งวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๓ขอถอนการค้ำประกัน โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันได้รับหนังสือบอกกล่าวและจำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วในวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๒๕ ตามหนังสือบอกกล่าวและใบตอบรับเอกสารหมาย จ.๑๔ และ จ.๑๕ การที่จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ผิดนัด และสัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงในวันครบกำหนดตามหนังสือบอกกล่าว คือวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๒๕โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันที่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนด และพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒,๑๕๓,๑๙๓.๔๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ๑๘ ต่อปีนับแต่วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้นจึงไม่ถูกต้อง แต่โจทก์ไม่ฎีกาศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันรับผิดเกินกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ ฯลฯ
พิพากษายืน.

Share