คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2163/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลในส่วนที่ขอให้บังคับตามฟ้องแย้ง จำเลยเพิกเฉย ศาลอุทธรณ์จึงให้จำหน่ายฟ้องแย้งของจำเลยเสีย ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่า จำเลยมีสิทธิเรียกเงินค่าประกันพร้อมดอกเบี้ยคืนจากโจทก์ และโจทก์ต้องคืนอุปกรณ์การเจาะหรือชดใช้ราคาตามท้องตลาดปัจจุบันให้แก่จำเลยตามฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายว่า เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์ได้จัดซื้ออุปกรณ์การเจาะอย่างเดียวกับที่เคยทำสัญญาซื้อขายกับจำเลยใหม่ โดยซื้อจากบริษัท ท. ในราคา 392,975 บาท ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 10 เป็นเหตุให้โจทก์ต้องใช้ราคาสูงเพิ่มขึ้นจากสัญญาซื้อขายที่ทำกับจำเลยเป็นเงิน 208,785 บาท เป็นการแสดงถึงความเสียหายของโจทก์จากการที่จำเลยผิดสัญญาไว้อย่างชัดแจ้ง ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ต้องซื้อสินค้าซึ่งจำเลยไม่ส่งมอบตามสัญญาแพงขึ้นและเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 10 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ หุ้นส่วนผู้จัดการได้ทำสัญญาขายอุปกรณ์การเจาะซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทลองเยียร์ให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๑๘๔,๑๙๐ บาท จำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบอุปกรณ์การเจาะดังกล่าวภายในกำหนด และเมื่อพ้นกำหนดตามสัญญาแล้ว จำเลยได้นำอุปกรณ์การเจาะซึ่งไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทลองเยียร์ มีขนาดแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทลองเยียร์ และมีข้อบกพร่องโดยนำมาประกอบกับเครื่องเจาะของบริษัทลองเยียร์ที่โจทก์มีอยู่แล้วไม่ได้มาส่งมอบให้โจทก์ โจทก์จึงไม่รับมอบ และแจ้งให้จำเลยมารับอุปกรณ์ดังกล่าวคืนและส่งมอบสิ่งของให้ถูกต้อง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามภายใน ๓๐ วัน ให้ถือว่าโจทก์บอกเลิกสัญญา จำเลยอ้างว่าส่งมอบสิ่งของถูกต้องตามสัญญาแล้ว โจทก์จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์การเจาะดังกล่าวโดยด่วน จึงจัดซื้อจากบุคคลอื่น เป็นเหตุให้โจทก์ต้องใช้ราคาสูงขึ้น ๒๐๘,๗๘๕ บาท และจำเลยต้องชำระค่าปรับตามสัญญาอีกเป็นเงิน ๑๑๐,๑๔๔.๖๒ บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทำสัญญาซื้อขายตามฟ้องโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของสัญญา สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายหรือค่าปรับตามฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ หลังจากโจทก์ปฏิเสธไม่ยอมรับสินค้าของจำเลย จำเลยขอรับเงินประกันและสินค้าคืน แต่โจทก์ไม่ยอมคืนและริบเงินประกัน ขอให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์คืนเงินประกัน ๑๘,๔๒๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้โจทก์ส่งคืนอุปกรณ์การเจาะหรือชดใช้ราคา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิริบเงินประกันดังกล่าว จำเลยมีหน้าที่ต้องรับสินค้าที่ส่งมอบไม่ตรงตามสัญญาคืนไปเองตามที่ระบุในสัญญา โจทก์ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒๓๘,๗๘๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้สำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของสัญญาซื้อขาย สัญญาซื้อขายใช้บังคับได้ จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าในประเด็นที่ว่า จำเลยมีสิทธิเรียกเงินประกันจำนวน ๑๘,๔๒๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยคืนจากโจทก์และโจทก์ต้องคืนอุปกรณ์การเจาะหรือชดใช้ราคาตามท้องตลาดปัจจุบันให้แก่จำเลยตามฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่นั้น ปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในส่วนที่ขอให้บังคับตามฟ้องแย้ง จำเลยทั้งสองทราบนัดแล้วเพิกเฉย ศาลอุทธรณ์จึงให้จำหน่ายฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองเสีย ดังนั้นฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ประเด็นที่ว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม โดยจำเลยฎีกาว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย ๒๐๘,๗๘๕ บาท แต่ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าโจทก์เสียหายอย่างไรนั้นเห็นว่าฟ้องของโจทก์ได้บรรยายในส่วนนี้ว่า เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์ได้จัดซื้ออุปกรณ์การเจาะอย่างเดียวกับที่เคยทำสัญญาซื้อขายกับจำเลยที่ ๑ ใหม่ โดยซื้อจากบริษัทไทยเอเยนซี่ เอนยิเนียริ่ง จำกัด ในราคา ๓๙๒,๙๗๕ บาท ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑๐ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องใช้ราคาสูงเพิ่มขึ้นจากสัญญาซื้อขายที่ทำกับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๒๐๘,๗๘๕ บาท เห็นว่าฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้แสดงถึงความเสียหายของโจทก์เป็นจำนวนเงิน ๒๐๘,๗๘๕ บาท จากการที่จำเลยผิดสัญญาไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คงเหลือประเด็นสุดท้ายที่ว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาซื้อขาย ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ว่าต้องฟ้องภายใน ๒ ปี นับแต่วันบอกเลิกสัญญานั้น เห็นว่า อายุความตามกฎหมายที่จำเลยอ้างนั้นเป็นเรื่องที่บุคคลผู้เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ต้องซื้อสินค้าซึ่งจำเลยไม่ส่งมอบตามสัญญาแพงขึ้น และเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา ซึ่งอายุความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ กรณีจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ ซึ่งกำหนดอายุความไว้ ๑๐ ปี คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน.

Share