แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องในวันนัดสืบพยานจำเลย ขอเลื่อนการสืบพยานจำเลยโดยอ้างว่าพยานจำเลยป่วย ศาลชั้นต้นสั่งที่คำร้องว่าสำเนาให้โจทก์ สั่งในรายงานกระบวนพิจารณา แล้วสั่งในรายงานกระบวนพิจารณามีใจความสำคัญว่า โจทก์คัดค้านและขอให้ตัดพยานจำเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยประวิงคดีจึงให้ถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบและให้งดสืบพยานจำเลย คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้เข้าใจได้ว่า ศาลชั้นต้นได้สั่งคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยแล้วโดยสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานจำเลยตามที่จำเลยขอเพราะคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยนั้นมีความหมายในตัวว่าไม่อนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานจำเลย จำเลยมีเจตนาประวิงคดี ศาลชั้นต้นก็ได้ให้โอกาสจำเลยมากมายเป็นพิเศษในการนำพยานมาสืบแล้ว ไม่มีความจำเป็นและไม่มีกฎหมายบังคับว่าศาลจะต้องพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าพยานจำเลยป่วยจริงหรือไม่ ทั้งคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยในนัดสุดท้ายก็มิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปจะทำให้เสียความยุติธรรม ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว
ย่อยาว
มูลคดีสืบเนื่องมาจากโจทก์มอบอำนาจให้นายชาลี พรหมดำรงฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินและดอกเบี้ยจำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้องจำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ และจำเลยไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามประกอบกับโจทก์มิได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยร้อยละ 18.5 ต่อปี ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดร้อยละ 18.5 ต่อปี จึงตกเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษายกฟ้อง โจทก์สืบพยานเสร็จ ในวันนัดสืบพยานจำเลยเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2530 ทนายจำเลยยื่นคำร้องว่านายสมภพ ฟูศิริ พยานจำเลยป่วยขอเลื่อนการพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยประวิงคดีให้ถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ และมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 5,293,972.60 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18.5 ต่อปี ในต้นเงิน 5,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 26 กรกฎาคม 2529) ไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยโดยมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยเป็นการไม่ชอบนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 8 เมษายน 2530 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลย ขอเลื่อนการสืบพยานจำเลยโดยอ้างว่านายสมภพ ฟูศิริ พยานจำเลยป่วยศาลชั้นต้นสั่งที่คำร้องว่า สำเนาให้โจทก์ สั่งในรายงานฯ แล้วศาลชั้นต้นสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 8 เมษายน 2530มีใจความสำคัญว่าทนายจำเลยยื่นคำร้องลงวันนี้ว่านายสมภพ ฟูศิริป่วย ขอเลื่อน โจทก์คัดค้าน และขอให้ตัดพยานจำเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยประวิงคดี จึงให้ถือว่าไม่มีพยานมาสืบและให้งดสืบพยานจำเลย คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้เข้าใจได้ว่าศาลชั้นต้นได้สั่งคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยแล้ว โดยสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานจำเลยตามที่จำเลยขอ เพราะคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยนั้นมีความหมายในตัวว่าไม่อนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานจำเลย
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยเป็นการไม่ชอบนั้น ได้ความว่าในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดแรกคือวันที่ 16 ธันวาคม2529 นั้น ทนายจำเลยแถลงว่านายสมภพ ฟูศิริ พยานจำเลยป่วยขอเลื่อน ศาลชั้นต้นอนุญาต ในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดที่ 2ในวันที่ 26 มกราคม 2530 ทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าทนายป่วย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนได้ แต่ได้กำชับให้จำเลยเตรียมพยานมาให้พร้อมมิฉะนั้นศาลจะไม่อนุญาตให้เลื่อนอีก อย่างไรก็ตามในวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งต่อไป คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2530 ทนายจำเลยแถลงว่านายสมภพพยานจำเลยซึ่งจำเลยติดใจสืบเพียงปากเดียวไปทำธุรกิจที่จังหวัดนครราชสีมา กลับมาไม่ทัน ขอเลื่อนไปอีกนัดเดียว นัดหน้าถ้าไม่มีพยานมาสืบก็ให้ถือว่าไม่ติดใจสืบพยานศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนได้ และกำชับจำเลยเตรียมพยานมาให้พร้อมมิฉะนั้นให้ถือว่าไม่ติดใจสืบพยาน จะไม่ให้เลื่อนคดีอีก ต่อมาวันที่ 18 มีนาคม 2530 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลยนัดต่อไปทนายจำเลยยื่นคำร้องว่า นายสมภพพยานจำเลยป่วย ขอเลื่อนอีกทนายโจทก์ไม่เชื่อว่านายสมภพป่วยจริงเพราะไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดง ขอให้ศาลสั่งเจ้าหน้าที่ไปดู ศาลชั้นต้นสั่งให้รองจ่าศาลไปดูว่านายสมภพป่วยจริงหรือไม่ รองจ่าศาลรายงานว่าทนายจำเลยพาไปยังที่ทำงานของนายสมภพ แต่นายสมภพไม่อยู่และไม่มีผู้ใดในที่ทำงานทราบว่าบ้านนายสมภพอยู่ที่ใด หมายเลขโทรศัพท์เท่าใด จึงไม่สามารถติดต่อนายสมภพได้ ทนายจำเลยขอเลื่อนเป็นครั้งสุดท้าย หากนัดหน้าแม้นายสมภพเจ็บป่วยหรือมาศาลไม่ได้ด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม ให้ถือว่าไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นจึงให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 8 เมษายน 2530 และกำชับจำเลยให้เตรียมพยานมาให้พร้อม มิฉะนั้นศาลจะไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีอีก โดยถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ ครั้นถึงวันที่ 8เมษายน 2530 ซึ่งเป็นวันนัด จำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีกอ้างว่านายสมภพป่วย ทนายโจทก์แถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีโดยชัดแจ้ง จึงให้ถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ และให้งดสืบพยานจำเลย ตามพฤติการณ์ดังได้กล่าวมาแล้วเห็นได้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดี ศาลชั้นต้นก็ได้ให้โอกาสจำเลยมากมายเป็นพิเศษในการนำพยานมาสืบแล้ว ไม่มีความจำเป็นและไม่มีกฎหมายบังคับว่าศาลจะต้องพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าพยานจำเลยป่วยจริงหรือไม่ ทั้งคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยในนัดสุดท้ายก็มิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปจะทำให้เสียความยุติธรรม ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานจำเลย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษายืน