แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฎีกาทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายสำหรับฎีกาในข้อเท็จจริงมีทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน50,000บาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา224วรรคหนึ่งอีกทั้งผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมิได้รับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ได้ดังนั้นแม้ผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงคดีก็ไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลฎีกาได้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าอุทธรณ์ของจำเลยได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มิใช่บุตรของห.เพราะโจทก์ไม่มีเอกสารหลักฐานใดมาแสดงศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงเป็นการมิชอบนั้นเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้งแต่อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพราะเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลคดีจึงไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ได้ ที่จำเลยฎีกาว่าการอ้างว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องมีเอกสารมาแสดงโดยจำเลยยกเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1555ว่าด้วยการฟ้องคดีขอให้รับรองบุตรมาอ้างนั้นเห็นว่าคดีนี้มิใช่เป็นคดีฟ้องขอให้รับรองบุตรจึงนำบทกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้และที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิใช่ผู้จัดการมรดกของห. นั้นจำเลยมิได้ให้การไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้สืบสันดานของนายหา พรหมพินิจและนางพา พรหมพินิจ ซึ่งอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่นายหาได้รับรองจนเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าโจทก์เป็นบุตร ต่อมาเมื่อต้นปี พ.ศ. 2490 นายหาและนางพาได้เลิกร้างกัน และนายหาแต่งงานใหม่กับนางพร พรหมพินิจซึ่งมีบุตรติดมาด้วยคนหนึ่งคือจำเลย ครั้งเดือนมีนาคม 2534นายหาถึงแก่กรรม ก่อนนายหาถึงแก่กรรมได้เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ตำบลหนองลาดอำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เนื้อที่ดิน 1 ไร่เศษ พร้อมด้วยบ้าน 1 หลัง และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ตำบลคำบ่ออำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เนื้อที่ 20 ไร่เศษ ซึ่งเป็นมรดกที่โจทก์มีสิทธิได้รับแต่เพียงผู้เดียว แต่ภายหลังจากที่นายหาถึงแก่กรรมแล้วจำเลยได้ครอบครองทรัพย์มรดก และไม่ยอมส่งมอบให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบทรัพย์มรดกของนายหาพรหมพินิจ ที่ครอบครองอยู่คืนโจทก์ทั้งหมด ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และให้จำเลยไปทำการโอนทางทะเบียนในทรัพย์มรดกของนายหาที่จำเลยได้รับโอนไปแล้วคืนให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่บุตรของนายหาและนายหาไม่เคยรับรองว่าโจทก์เป็นบุตร จำเลยเป็นบุตรของนายหาและนางพร พรหมพินิจซึ่งได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย จำเลยเพียงผู้เดียวซึ่งเป็นบุตรมีสิทธิได้รับมรดกของนายหา โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับมรดกไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยส่งมอบหรือจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองบ้านและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตำบลหนองลาด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร และที่ดินตามหนังสือรับรอง ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนเจตนา ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายก
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยฎีกาทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย สำหรับฎีกาในข้อเท็จจริงตามฎีกาข้อ 2.1 นั้น จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นบุตรของนายหาเจ้ามรดก เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง อีกทั้งผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นก็มิได้รับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงในคดีจึงไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ได้ดังนั้น ในชั้นศาลฎีกาแม้ผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงแล้วก็ตาม ข้อเท็จจริงดังกล่าวในคดีก็ไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลฎีกาได้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวกันแล้วในศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วย มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อ 2.2 ว่า อุทธรณ์ของจำเลยได้กล่าวโต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มิใช่บุตรของนายหา เพราะโจทก์ไม่มีเอกสารหลักฐานใดมาแสดง การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย จึงเป็นการมิชอบนั้นเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้งแล้วแต่อย่างไรก็ตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวก็เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพราะการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลว่า ศาลไม่ควรเชื่อพยานโจทก์ว่าโจทก์เป็นบุตรของนายหาเมื่อข้อเท็จจริงในคดีไม่อาจขึ้นมาสู่ชั้นศาลอุทธรณ์ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การอ้างว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องมีเอกสารมาแสดงโดยจำเลยยกเอามาตรา 1555 ว่าด้วยการฟ้องคดีขอให้รับรองบุตรมาอ้างนั้น เห็นว่า คดีนี้มิใช่เป็นคดีฟ้องขอให้รับรองบุตรจึงนำบทกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้ และที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิใช่ผู้จัดการมรดกของนายหานั้น ปัญหาที่ว่าโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายหาหรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อข้อนี้จำเลยมิได้ให้การไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่เห็นควรยกขึ้นวินิจฉัย
พิพากษายืน