แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้ขายมีหน้าที่ที่จะต้องส่งสินค้าให้แก่ผู้ซื้อที่ท่าเรือปลายทาง และโจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญารับขนของทางทะเลว่า โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยทั้งสองให้ดำเนินการเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าไปส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อ แต่สินค้าได้เกิดความเสียหายในระหว่างการขนส่ง ดังนั้นโจทก์ในฐานะผู้ส่งซึ่งเป็นคู่สัญญากับผู้ขนส่งย่อมมีสิทธิจะฟ้องร้องให้ผู้ขนส่งรับผิดต่อโจทก์ได้ตามสัญญารับขนของทางทะเล ทั้งโจทก์ยังไม่ได้โอนใบตราส่งให้แก่ผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้รับตราส่ง โดยโจทก์เพียงแต่ส่งมอบต้นฉบับใบตราส่งให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ท่าเรือต้นทางเพื่อให้แจ้งไปยังตัวแทนของผู้ขนส่งที่ท่าเรือปลายทางให้ส่งมอบสินค้าแก่ผู้รับตราส่งที่โจทก์ระบุไว้เท่านั้น แม้ผู้ซื้อจะได้เรียกร้องให้ตัวแทนของผู้ขนส่งที่ท่าเรือปลายทางส่งมอบตู้สินค้าให้แก่ผู้รับตราส่งแล้ว สิทธิทั้งหลายของโจทก์ในฐานะผู้ส่งอันเกิดแต่สัญญารับขนยังหาได้โอนไปยังผู้รับตราส่งไม่ นอกจากนั้นผู้ซื้อยังไม่ได้ตกลงรับซื้อสินค้า สินค้าจึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายจากความเสียหายของสินค้าด้วยโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดอยู่ต่างประเทศ จดทะเบียนที่ใต้หวัน ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียน ณสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร โจทก์ได้ว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ขนส่งสินค้าจากท่าเรือแหลมฉบัง ไปส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อยังเมืองฮ่องกงโดยวิธีขนส่งทางทะเล โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับขนส่ง จำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ในประเทศไทยเกี่ยวกับการจัดเตรียมการขนส่ง รับมอบสินค้าตลอดจนนำสินค้าบรรทุกลงเรือ และเป็นผู้ออกใบตราส่งในนามของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ เป็นคำฟ้องที่ขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในประเทศไทยได้ทำสัญญารับขนของทางทะเลแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการที่อยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศด้วย การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 ตามสัญญาตัวแทนย่อมไม่เป็นการพิพากษานอกเหนือหรือเกินกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง
การที่ตัวแทนทำสัญญาแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศเป็นกรณีที่มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 824 บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้ตัวแทนต้องรับผิดตามสัญญานั้นแต่ลำพังตนเองซึ่งหมายความว่าตัวแทนต้องมีความรับผิดด้วย ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศกับจำเลยที่ 2 ตัวแทนในประเทศไทยที่ทำสัญญารับขนของทางทะเลแทนจำเลยที่ 1 รวมกันมาและศาลเห็นว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2541 บริษัทเคเอ ชิง ฮ่องกง เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งอยู่ที่เมืองฮ่องกง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ติดต่อซื้อสินค้าทุเรียนสดจากโจทก์โดยมีเงื่อนไขให้โจทก์จัดส่งสินค้าไปมอบแก่ผู้ซื้อโดยความเสี่ยงภัยของโจทก์เองหากผู้ซื้อได้รับสินค้าในสภาพเรียบร้อยถูกต้องแล้ว จึงจะชำระราคาให้แก่โจทก์ โจทก์ว่าจ้างจำเลยทั้งสองให้เป็นผู้ขนส่งและจำเลยทั้งสองตกลงรับขนส่งสินค้าให้โจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับขนส่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ในประเทศไทยในการจัดเตรียมการขนส่ง รับมอบสินค้า นำสินค้าบรรทุกลงเรือและออกใบตราส่งในนามของจำเลยที่ 1 และตกลงเงื่อนไขการขนส่งทุเรียนสดจากท่าเรือแหลมฉบังไปยังเมืองฮ่องกงในระบบตู้สินค้าแบบ FCL/FCL โดยจำเลยที่ 2 ได้จัดตู้สินค้าแบบห้องเย็นขนาด 40 ฟุต 2 ตู้ให้โจทก์นำไปบรรจุสินค้าเอง ซึ่งปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ส่งตู้สินค้าหมายเลขอีไอเอสยู (EISU) 5609279และอีเอ็มซียู (EMCU) 5140065 แก่โจทก์ โจทก์นำมาบรรจุสินค้าทุเรียนสดแล้วนำไปมอบแก่จำเลยที่ 2 และโจทก์แจ้งแก่จำเลยทั้งสองด้วยว่าในการขนส่งต้องรักษาอุณหภูมิในตู้สินค้าในระดับ 13 องศาเซลเซียสการระบายอากาศ 50 เปอร์เซ็นต์ วันที่ 30 มีนาคม2541 จำเลยที่ 2 ได้ขนตู้สินค้า 2 ตู้ ที่บรรจุทุเรียนแล้วบรรทุกลงเรือเอฟเวอร์โกลเด้นแล้วออกใบตราส่งให้โจทก์โดยระบุว่า ผู้ส่งเป็นผู้บรรจุและตรวจนับสินค้าเอง (shipper’s load and count) ต่อมาก่อนเรือจะเดินทางไปถึงเมืองฮ่องกง โจทก์ได้นำใบตราส่งเวนคืนให้จำเลยที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 2 แจ้งตัวแทนที่เมืองฮ่องกงให้ส่งมอบสินค้าแก่ผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้รับตราส่งโดยไม่ต้องแสดงใบตราส่ง เรือเดินทางถึงเมืองฮ่องกงเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2541 และบริษัทเคเอ ชิง ฮ่องกง เทรดดิ้ง จำกัด ผู้รับตราส่งได้รับมอบตู้สินค้าเมื่อวันที่ 5เมษายน 2541 ปรากฏว่าสินค้าทุเรียนในตู้สินค้าเดิมตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งคือตู้สินค้าหมายเลขไอเอสยู 5609279 แต่มีการเปลี่ยนนำสินค้าของโจทก์มาบรรจุในตู้สินค้าหมายเลขอีเอ็นซียู 5142812 แทน แสดงว่า เมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับตู้สินค้าบรรจุสินค้าของโจทก์ไว้แล้ว จำเลยที่ 2 ได้ขนย้ายสินค้าของโจทก์ไปบรรจุในตู้สินค้าอีกตู้หนึ่งดังกล่าวโดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ เป็นการกระทำละเมิดเงื่อนไขการรับและส่งมอบสินค้า ทำให้สินค้านั้นได้รับความเสียหายเป็นเหตุให้ผู้รับตราส่งไม่ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายตามราคาค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้รับความเสียหายถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน863,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 807,500 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า การซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์กับผู้ซื้อระบุเงื่อนไขแบบ CIF ฮ่องกง ซึ่งกรรมสิทธิ์ในสินค้าและความเสี่ยงภัยในสินค้าโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่เมื่อสินค้าพ้นกราบเรือที่ท่าเรือปลายทางแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ 1 สินค้าได้รับความเสียหายเพราะโจทก์บรรจุสินค้าในตู้สินค้าไม่ถูกต้องและมากเกินไป ทำให้อุณหภูมิในตู้สินค้าไม่เป็นไปตามที่กำหนด ทั้งสินค้าก็เป็นผลไม้สดที่คายความร้อนเองตามธรรมชาติ ส่วนกรณีที่มีการเปลี่ยนตู้สินค้าใหม่ไม่ใช่เพราะตู้สินค้าเดิมชำรุดบกพร่องแต่ทำไปเพื่อประโยชน์ของโจทก์ในการรักษาอุณหภูมิในตู้สินค้า และความเสียหายของสินค้าไม่ได้เกิดเพราะการเปลี่ยนตู้สินค้า ทั้งผู้รับตราส่งยินยอมรับตู้สินค้านั้นโดยไม่โต้แย้ง อันถือได้ว่ามีการสละการโต้แย้งการเปลี่ยนตู้สินค้าแล้ว และถือว่าผู้รับตราส่งได้รับมอบสินค้าในสภาพถูกต้องสมบูรณ์แล้วผู้ขนส่งจึงไม่ต้องรับผิดชอบ หากสินค้าได้รับความเสียหายจริง ก็ได้รับความเสียหายเพียงบางส่วน ซึ่งมีความเสียหายจำนวนไม่เกิน 60,000 บาท ทั้งสินค้า 1 ตู้สินค้า ถือเป็น1 หน่วยการขนส่งผู้ขนส่งสามารถจำกัดความรับผิดไว้เพียง 10,000 บาท และจำเลยที่ 2ให้การด้วยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 รับผิดในมูลละเมิดด้วย จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 605,625 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 เมษายน 2541 (อันเป็นวันที่พบเห็นความเสียหาย) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า”มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่โดยจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าการซื้อขายสินค้ารายนี้เป็นการตกลงซื้อขายแบบซีไอเอฟ(CIF) ซึ่งตามข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ (Incoterms) ในเงื่อนไขซีไอเอฟกรรมสิทธิ์และการเสี่ยงภัยของสินค้าได้โอนไปยังผู้ซื้อนับแต่สินค้าได้ลำเลียงพ้นกราบเรือที่ท่าเรือต้นทาง ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายแก่สินค้าก็ชอบที่ผู้รับตราส่งหรือผู้ซื้อจะดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองโดยลำพังโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ในเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าเป็นกรณีที่คู่สัญญาซื้อขายจะตกลงกันในเรื่องของสัญญาซื้อขาย แต่คดีนี้ โจทก์เป็นผู้ขายสินค้าซึ่งมีหน้าที่ตามสัญญาซื้อขายที่จะต้องส่งสินค้าให้แก่ผู้ซื้อที่ท่าเรือเมืองฮ่องกงซึ่งเป็นท่าเรือปลายทาง และโจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญารับขนของทางทะเลว่า โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยทั้งสองให้ดำเนินการเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าไปส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อ แต่สินค้าได้เกิดความเสียหายในระหว่างการขนส่ง โจทก์ในฐานะผู้ส่งซึ่งเป็นคู่สัญญาตามสัญญารับขนของทางทะเลกับผู้ขนส่งย่อมมีสิทธิจะฟ้องร้องให้ผู้ขนส่งรับผิดต่อโจทก์ได้ตามสัญญารับขนของทางทะเลนั้นทั้งได้ความว่าโจทก์ยังไม่ได้โอนใบตราส่งสำหรับสินค้าที่ขนส่งให้แก่ผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้รับตราส่ง โดยโจทก์เพียงแต่ส่งมอบต้นฉบับใบตราส่งให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ท่าเรือต้นทางเพื่อให้แจ้งไปยังตัวแทนของผู้ขนส่งที่ท่าเรือปลายทางให้ส่งมอบสินค้าแก่ผู้รับตราส่งที่โจทก์ระบุไว้เท่านั้นแม้ผู้ซื้อจะได้เรียกร้องให้ตัวแทนของผู้ขนส่งที่ท่าเรือปลายทางส่งมอบตู้สินค้าซึ่งบรรจุสินค้าให้แก่ผู้รับตราส่งแล้วก็ตาม สิทธิทั้งหลายของโจทก์ในฐานะผู้ส่งอันเกิดแต่สัญญารับขนยังหาได้โอนไปยังผู้รับตราส่งไม่ นอกจากนั้นยังได้ความตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงและความเห็นกับคำเบิกความของนายอำนาจ กิตติคุณชัยพยานโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ว่า ตามธรรมเนียมประเพณีการซื้อขายผลไม้สดผู้ซื้อจะตรวจสภาพสินค้าจนเป็นที่พอใจแล้วจึงจะตกลงซื้อและชำระราคาให้ จะไม่มีการตกลงซื้อขายกันก่อนที่โจทก์จะส่งสินค้าไปหรือตกลงซื้อขายกันโดยให้ชำระราคาด้วยวิธีเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตอย่างเช่นวิธีการปฏิบัติทางการค้าระหว่างประเทศทั่วไป ซึ่งความข้อนี้จำเลยทั้งสองมิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์รายนี้มีการขอให้ธนาคารเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่โจทก์แต่อย่างใด จึงเชื่อว่าผู้ซื้อยังไม่ได้ตกลงรับซื้อสินค้าและสินค้ายังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายจากความเสียหายของสินค้าด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการต่อไปว่า การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยและพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนเข้าทำสัญญารับขนของทางทะเลกับโจทก์แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการที่อยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 824 ชอบหรือไม่ ในข้อนี้สำหรับปัญหาว่าคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางดังกล่าวเป็นการพิพากษาเกินกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดอยู่ต่างประเทศ จดทะเบียนที่ดินแดนใต้หวันส่วนจำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร โจทก์ได้ว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ขนส่งสินค้าจากท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ไปส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อยังเมืองฮ่องกงโดยวิธีขนส่งทางทะเลจำเลยทั้งสองตกลงรับจ้างขนส่งสินค้ารายนี้โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับขนส่ง จำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ในประเทศไทยเกี่ยวกับการจัดเตรียมการขนส่ง รับมอบสินค้าตลอดจนนำสินค้าบรรทุกลงเรือ และเป็นผู้ออกใบตราส่งในนามของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ซึ่งเห็นได้ว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ต่างประเทศ และจำเลยที่ 2 ออกใบตราส่งอันถือเป็นหลักฐานแห่งสัญญารับขนของทางทะเลให้แก่โจทก์โดยจำเลยที่ 2 ทำในนามของจำเลยที่ 1 จึงพอเข้าใจได้ว่าเป็นคำฟ้องที่ขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในประเทศไทยได้ทำสัญญารับขนของทางทะเลแทนจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นตัวการที่อยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศด้วย การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาพิพากษาเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 ตามสัญญาตัวแทนตามที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวย่อมไม่เป็นการพิพากษานอกเหนือหรือเกินกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง ส่วนปัญหาว่า เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการที่อยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศให้รับผิดในความเสียหายของสินค้าที่ขนส่งต่อโจทก์ตามสัญญารับขนของทางทะเลที่จำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญากับโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งถูกฟ้องร่วมมาด้วยยังต้องรับผิดในฐานะเป็นตัวแทนซึ่งทำสัญญารับขนของทางทะเลนั้นแทนจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 824 อยู่อีกหรือไม่นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าแม้โดยหลักทั่วไปว่าด้วยความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอก เมื่อตัวแทนกระทำการแทนตัวการไปภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทนแล้ว ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายที่ตัวแทนได้ทำไปดังกล่าวนั้น โดยตัวแทนไม่ต้องผูกพันหรือรับผิดต่อบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 ก็ตาม แต่ในกรณีตัวแทนที่ทำสัญญาแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศนั้นเป็นกรณีที่มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 824 บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้ตัวแทนเช่นนี้ต้องรับผิดตามสัญญานั้นแต่ลำพังตนเองซึ่งหมายความว่าตัวแทนเช่นว่านี้ต้องมีความรับผิดด้วย ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศกับจำเลยที่ 2 ตัวแทนที่ทำสัญญารับขนของทางทะเลแทนจำเลยที่ 1 รวมกันมาและศาลได้พิจารณาเห็นว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์อีกคนหนึ่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 824 และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ขนส่งสินค้าให้โจทก์โดยติดต่อกับจำเลยที่ 2 ตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในประเทศไทย ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับจองระวางเรือแทนจำเลยที่ 1 และเป็นผู้ลงลายมือชื่อออกใบตราส่งโดยระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ผู้ขนส่ง ดังนี้กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนทำสัญญารับขนของทางทะเลแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการที่อยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศ จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนจึงต้องรับผิดตามสัญญานั้นด้วยอุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน