คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4176/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่แบ่งซื้อมาจากจำเลยทั้งสองไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ถ้าโจทก์จะออกสู่ทางสาธารณะจะต้องอาศัยทางในที่ดินของบุคคลอื่นและไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิใช้ทางดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินของโจทก์ทั้งสองอยู่ในที่ล้อมจึงมีสิทธิผ่านที่ดินแปลงเดิมของจำเลยทั้งสองที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนออกไปสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 และเมื่อเป็นทางจำเป็นโดยผลของกฎหมายดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงไม่จำต้องไปจดทะเบียน โจทก์ทั้งสองมีสิทธิผ่านที่ดินแปลงเดิมของจำเลยทั้งสองที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนออกไปสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 การที่โจทก์ทั้งสองตกลงด้วยวาจากับจำเลยทั้งสองยกเลิกสัญญาที่จำเลยทั้งสองยินยอมให้โจทก์ทั้งสองใช้ทางผ่าน เป็นการตกลงยกเลิกข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1338 วรรคสอง จึงไม่มีผลผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง สิทธิของโจทก์ทั้งสองที่จะใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายคือมีสิทธิเดินผ่านในที่ดินของจำเลยทั้งสองได้ตลอดเวลา เมื่อใดจำเลยทั้งสองปิดทางเดินจนโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสองย่อมจะฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองเปิดทางได้ ไม่มีอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 402 ซึ่งอยู่ติดทางสาธารณะ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2519 จำเลยทั้งสองได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวจำนวน 3 งาน ซึ่งอยู่ด้านหลังขายให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นเหตุให้ที่ดินโจทก์ที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ และก่อนแบ่งโอนกล่าวคือ เมื่อวันที่28 ตุลาคม 2519 จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญากับโจทก์ทั้งสองว่าจะเปิดทางเดินกว้าง 2.5 เมตร ให้โจทก์เดินออกสู่ทางสาธารณะปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้อง ต่อมาเดือนกรกฎาคม 2530 จำเลยสร้างรั้วปิดกั้นทางเดินไม่ยอมให้โจทก์เดินผ่านที่ดินจำเลยออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองเปิดทาง จำเลยเพิกเฉยจึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดทางเดินด้านทิศเหนือ กว้าง2.5 เมตรให้แก่โจทก์เพื่อผ่านออกสู่ทางสาธารณะและให้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ไปให้ถือเอาคำสั่งหรือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองยอมรับว่าเคยทำสัญญากับโจทก์ทั้งสองว่าจะเปิดทางเดินให้โจทก์เดินออกสู่ทางสาธารณะได้ แต่ต่อมาโจทก์ทั้งสองและจำเลยตกลงยกเลิกสัญญาดังกล่าวเพราะโจทก์ทั้งสองประสงค์จะได้ที่ดินที่ซื้อจำนวน 3 งานเต็มเนื้อที่โดยไม่ต้องแบ่งเป็นทางเดิน เมื่อแบ่งโอนที่ดินกันแล้วโจทก์และจำเลยต่างล้อมรั้ว โจทก์ไม่เคยเดินผ่านที่ดินจำเลยเพราะโจทก์เดินออกสู่ทางสาธารณะทางด้านหลัง ต่อมาปี 2524 จำเลยทั้งสองปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น เต็มเนื้อที่และล้อมรั้วสังกะสีปิดกั้น โจทก์ทราบก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใด โจทก์ไม่เคยเดินผ่านที่ดินจำเลยทั้งสองเป็นเวลา 10 ปีเศษ ถือว่าโจทก์สละสิทธิการใช้สิทธิของโจทก์เป็นอันสิ้นสุด โจทก์ใช้ทางหลังด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นทางสาธารณะออกสู่ถนนสายเชียงใหม่ – พร้าว มาประมาณ12 ปี ต่อมาก่อนฟ้องคดีนี้เจ้าของที่ดินที่เป็นทางสาธารณะปิดกั้นทำให้โจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ทั้งคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์มิได้ฟ้องเพื่อให้จำเลยทั้งสองเปิดทางเดินภายใน 10 ปี นับแต่ปี 2519 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองเปิดทางเดินกว้าง 2.5 เมตร เพื่อโจทก์ทั้งสองผ่านที่ดินจำเลยทั้งสองออกสู่ทางสาธารณะและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่า เดิมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 402 หมู่ที่ 4 ตำบลหนองหาร อำเภอสันทรายจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีชื่อจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของอยู่ติดถนนเชียงใหม่-พร้าว ต่อมาปี 2519 โจทก์ทั้งสองได้ซื้อที่ดินดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ 3 งาน ซึ่งอยู่ด้านหลัง ก่อนแบ่งแยกหรือแบ่งโอนจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญากับโจทก์ทั้งสองว่าจะเปิดทางเดินกว้าง 2.5 เมตร ให้โจทก์ทั้งสองเดินออกสู่ทางสาธารณะได้ปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.5
ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสองเปิดทางเดินในที่ดินของจำเลยทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ที่ 1เบิกความเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะหรือไม่ว่าจำเลยทั้งสองล้อมรั้วปิดกั้นในที่ดินของจำเลยมาแต่ปี 2527โจทก์ต้องไปอาศัยที่ดินของบุคคลอื่นทางด้านหลังออกสู่ทางสาธารณะและมีนางสาวเสงี่ยม คำเมืองลือ ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ที่พิพาทเบิกความสนับสนุนโจทก์ที่ 1 ว่า ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ถ้าจะออกจะต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นปัจจุบันจำเลยปิดรั้วกั้นซึ่งความดังกล่าวได้ความสอดคล้องต้องกันกับการเผชิญสืบของศาลชั้นต้นว่ามีรั้วไม้ไผ่ขัดแตะกั้นแนวเขตที่ดินระหว่างโจทก์กับนายเหรียญ แม้ทางนำสืบของจำเลยก็ได้ความว่าโจทก์จะออกจากที่ดินของโจทก์ทางด้านหลังจะต้องผ่านที่ดินของนายชุ่ม ดวงบาล นางจันทร์เป็ง ดวงบาล และนางแก้ว ต่อมานางแก้วปิดทางเดิน โจทก์อาศัยที่ดินของนายเหรียญ ข้อเท็จจริงดังกล่าวฟังได้ว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองด้านหลังไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ถ้าโจทก์จะออกสู่ทางสาธารณะจะต้องอาศัยทางในที่ดินของบุคคลอื่นและไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิใช้ทางดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินของโจทก์ทั้งสองอยู่ในที่ล้อมจึงมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนไปสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์ทั้งสองได้ตกลงยกเลิกสัญญาที่จำเลยทั้งสองยินยอมให้โจทก์ทั้งสองใช้ทางผ่านกว้าง 2.5 เมตร ตามเอกสารหมาย จ.5นั้น เห็นว่า แม้ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองจะเป็นจริง แต่ตามข้ออ้างเป็นข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1338 วรรคสองบังคับให้ทำนิติกรรมเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่แต่กรณีตามที่จำเลยทั้งสองอ้างมิได้กระทำดังกล่าวเพียงแต่ตกลงยกเลิกข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ด้วยปากเปล่าเท่านั้น จึงไม่มีผลผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง ดังนั้นจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในข้อที่ว่าโจทก์กับจำเลยได้ทำและยกเลิกสัญญาตามเอกสารหมาย จ.5 หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่การใช้สิทธิผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองนั้นได้ความตามเอกสารหมาย จ.5 ว่ามีความกว้าง 2.5 เมตร แสดงว่าจำเลยทั้งสองก็ทราบดีว่าความกว้างดังกล่าวพอสมควรแก่ความจำเป็นตามสถานการณ์ความเจริญของบ้านเมือง จึงเห็นสมควรให้จำเลยทั้งสองเปิดทางกว้าง 2.5 เมตร ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2โดยให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองนั้นเห็นว่าเมื่อเป็นทางจำเป็นโดยผลของกฎหมาย จึงไม่จำต้องไปจดทะเบียนตามคำขอของโจทก์ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้เดินผ่านที่ดินของจำเลยหรือไม่ขอให้จำเลยเปิดทางเดินเกินกว่า 14 ปี แล้วคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น เห็นว่า สิทธิของโจทก์ทั้งสองเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย คือมีสิทธิเดินผ่านในที่ดินของจำเลยทั้งสองได้ตลอดเวลา เมื่อใดจำเลยทั้งสองปิดทางเดินจนโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสองย่อมจะฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองเปิดทางได้กรณีไม่มีอายุความ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share