คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3หรือไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกา โจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 3 เชิดจำเลยที่ 4 ให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ โจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องถึงพฤติการณ์ว่าจำเลยที่ 3 ได้เชิดจำเลยที่ 4 อย่างไร เพราะสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นวิศวกรควบคุมการก่อสร้างของบริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 4 ซึ่งเป็นลูกจ้างฝ่ายตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 3 ร่วมกันเจรจาและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ณ สำนักงานของจำเลยที่ 3 ประกอบกับการที่จำเลยที่ 1และทนายความของจำเลยที่ 3 ยอมรับผิดตามหนังสือของโจทก์ที่ขอให้ชำระหนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 เห็นชอบในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3รู้อยู่แล้วยอมให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 เชิดตัวเขาเองออกเป็นตัวแทน จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อมิใช่เป็นเรื่องการตั้งตัวแทนไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามปกติแต่เป็นเรื่องตัวแทนเชิด จึงหาจำต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้กระทำการแทนแต่อย่างใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 6/1จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 1 ได้ตอกเสาเข็มฐานรากเพื่อก่อสร้างอาคาร ทำให้บ้านเรือนโจทก์เสียหายเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2528 จำเลยที่ 1ได้เชิดจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้เชิดจำเลยที่ 4 ให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำนวน 800,000 บาทจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันชดใช้เงินให้โจทก์ไปแล้วจำนวน 480,000 บาทยังค้างชำระอยู่อีก 320,000 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ชำระแต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 330,000 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี คิดจากต้นเงิน 320,000 บาท นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2529จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยแต่งตั้งให้จำเลยที่ 2เป็นตัวแทนหรือเชิดจำเลยที่ 2 ให้เป็นผู้ไปติดต่อเจรจาค่าเสียหายหรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ สัญญาประนีประนอมยอมความ ดังกล่าวโจทก์ทำขึ้นเอง จำเลยที่ 1 ไม่ได้เข้าร่วมทำสัญญาด้วย
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 มิได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1และไม่เคยถูกเชิดจากจำเลยที่ 1 ในการเจรจาและทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์มิได้บรรยายว่าโจทก์โต้แย้งสิทธิกับจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่เคยเชิดจำเลยที่ 4หรือบุคคลใดดำเนินกิจการแทนและทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามฟ้องจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาดังกล่าว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 3 มีนิติสัมพันธ์ที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไร ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 330,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 320,000 บาท นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2529 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 9,000 บาท และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 4 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ 4ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 5,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่จำเลยที่ 1 มิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ ส่วนคำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 นั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 1ได้ตอกเสาเข็มฐานรากอาคารของจำเลยที่ 1 ทำให้บ้านโจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2528 จำเลยที่ 1ได้เชิดจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ได้เชิดจำเลยที่ 4 ให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน800,000 บาท ได้ชำระไปบางส่วนยังค้างชำระอยู่จำนวน 320,000 บาทขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าเสียหายที่ค้างชำระดังกล่าว เห็นว่าโจทก์ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาพร้อมด้วยคำขอบังคับทั้งได้อ้างอิงสิทธิซึ่งเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ไม่จำเป็นต้องบรรยายถึงพฤติการณ์ว่าจำเลยที่ 3 ได้เชิดจำเลยที่ 4 อย่างไร เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวสามารถนำสืบในชั้นพิจารณาคดีได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 2 เป็นวิศวกรควบคุมการก่อสร้าง เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 3ฝ่าย ตรวจสอบอุบัติเหตุ เมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 3สำรวจความเสียหาย ต่อมาได้มีการเจรจาเรื่องค่าเสียหาย และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ซึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.9 ปรากฏว่าสัญญานั้นได้ทำกันที่สำนักงานบริษัทไทยประสิทธิ์ประกันภัย จำกัด จำเลยที่ 3 ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2วิศวกรควบคุมการก่อสร้างของบริษัทจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4ลูกจ้างฝ่ายตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 3 ได้ทำการเจรจาและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ณ สำนักงานของบริษัทจำเลยที่ 3แสดงว่าบริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้เห็นชอบแล้ว ทั้งภายหลังจากที่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว เมื่อโจทก์มีหนังสือขอให้ชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทนายผู้รับมอบอำนาจของจำเลยที่ 3 ก็ยอมรับผิด และเมื่อบริษัทจำเลยที่ 3 แจ้งเรื่องความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้บริษัทจำเลยที่ 1 ทราบจำเลยที่ 1 ก็ยอมรับผิดจึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ที่ 3รู้อยู่แล้วยอมให้จำเลยที่ 2 ที่ 4 เชิดตัวเขาเองออกเป็นตัวแทนของตนทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ผู้สุจริต จำเลยที่ 1 ที่ 3จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น และกรณีตามที่โจทก์ฟ้องนี้มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 กับที่ 3ตั้งตัวแทนไปทำสัญญา ประนีประนอมยอมความกันตามปกติแต่เป็นเรื่องตัวแทนเชิด จึงหาจำต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้กระทำแทนแต่อย่างใดไม่
พิพากษายืน

Share