แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาในคดีอื่นที่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยอื่นชำระหนี้เป็นเงินจำนวนหนึ่งให้โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 รู้ว่าจำเลยที่ 1เป็นหนี้โจทก์ขณะทำการรับโอนที่ดินพิพาทและจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นพอชำระหนี้ให้โจทก์ เมื่อโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1ได้โดยสิ้นเชิง แม้จำเลยที่ 1 จะมีลูกหนี้ร่วมคนอื่นก็ตาม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะบังคับชำระหนี้ได้นอกจากที่ดินพิพาท การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ไว้ จึงทำให้กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ลดน้อยลงไม่พอที่จะใช้หนี้แก่โจทก์ อันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 412/2528 และที่ 431/2528 ของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2225 เนื้อที่ 37 ไร่ 3 งาน 70 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2225 ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 ถ้าจำเลยทั้งสามไม่ดำเนินการจดทะเบียนดังกล่าว ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โดยมิได้รู้มาก่อนว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา อย่างไรก็ตามโจทก์มิได้เสียเปรียบเพราะในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 412/2528จำเลยที่ 1 นายวิสัย หอมจันทึก นายวิน พับขุนทด นายตั้ด พับขุนทด และนายจรูญ หอมจันทึก ร่วมกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความในอันที่จะร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ และในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 431/2528 จำเลยที่ 1 นายโย่ง ดีอ่อนและนายแป๋ว เทียวประสงค์ ร่วมกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความในอันที่จะร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ ซึ่งโจทก์สามารถบังคับคดีชำระหนี้โจทก์ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2225 ตำบลหัวทะเลอำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2529 ให้จำเลยที่ 2จำเลยที่ 3 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ถ้าจำเลยทั้งสามไม่ดำเนินการก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นรวม 2 คดี คือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 412/2528 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1นายวิสัย หอมจันทึก นายวิน พับขุนทด นายจรูญ หอมจันทึกและนายตั้ด พับขุนทด ชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวนเงิน 5,585.50 บาทภายในวันที่ 31 มีนาคม 2529 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบเจ็ดต่อปี ในต้นเงินจำนวน 3,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับค่าฤชาธรรมเนียม นอกจากที่ศาลสั่งคืน และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 431/2528 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1นายไผ่ ดีอ่อน และนายแป๋ว เทียวประสงค์ ชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวนเงิน 14,984.75 บาท ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2529 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบเจ็ดต่อปี ในต้นเงินจำนวน 8,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่ศาลสั่งคืน ต่อมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2529 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2225 เนื้อที่ 37 ไร่ 3 งาน 70 ตารางวาตำบลหัวทะเล อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในราคา 95,000 บาท โจทก์ได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ข้อหาโกงเจ้าหนี้พนักงานอัยการจังหวัดชัยภูมิมิได้ฟ้องจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 เดือนคดีถึงที่สุดแล้ว ปรากฏตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1563/2529 โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 นั้น จำเลยที่ 2 ที่ 3รู้หรือไม่ว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์และไม่มีทรัพย์สินอื่นพอชำระหนี้ให้โจทก์ อันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 และที่ 3ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รับโอนที่ดินพิพาทไปจากจำเลยที่ 1 โดยรู้ถึงข้อความจริงว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ขณะทำการรับโอนที่ดินพิพาทและจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นพอชำระหนี้ให้โจทก์ เมื่อโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 โจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ได้โดยสิ้นเชิง แม้จำเลยที่ 1 จะมีลูกหนี้ร่วมคนอื่นก็ตาม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่โจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้นอกจากที่ดินพิพาทแล้วการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ไว้จึงเป็นการทำให้กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ลดน้อยลงไม่พอที่จะใช้หนี้แก่โจทก์ อันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ กรณีเช่นนี้โจทก์จึงมีอำนาจที่จะขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น