คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ จำเลยแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งมายังที่เกิดเหตุทราบว่าจำเลยเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุ และมีผู้อื่นนำส่งผู้บาดเจ็บไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว แม้ต่อมาจำเลยหลบหนีไปก็จะถือว่าจำเลยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ตายและผู้บาดเจ็บกับไม่ได้แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันทีไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 33, 34, 39, 43, 78, 151, 157, 160 วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 291, 300, 390 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 33 วรรคแรก, 39 วรรคแรก,43(4)(6), 78, 151, 157, 160 วรรคสอง ประกอบมาตรา 4(4)หลายกรรมต่างกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้เรียงกระทงลงโทษ ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย บาดเจ็บสาหัส และได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจเป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุก 6 ปี ความผิดฐานหลบหนีไม่ช่วยเหลือผู้ตายและผู้บาดเจ็บ ไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายให้จำคุก2 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 2 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในประการแรกว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัสและได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจหรือไม่ โจทก์มีนายชาญณรงค์ สนองคุณ นายสุนทร สังเกตุและนายบุษบา ภิญโญฤทธิ์ เป็นประจักษ์พยาน นายชาญณรงค์และนายสุนทรเบิกความเป็นทำนองเดียวกันว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุนายชาญณรงค์กับนายสุนทรนั่งรถยนต์หมายเลขทะเบียน 7 น-4881กรุงเทพมหานคร มีนายประไพผู้ตายเป็นผู้ขับโดยนั่งด้วยกันทางด้านหน้า ขณะรถผู้ตายกับรถจำเลยแล่นสวนทางกัน เห็นจำเลยขับรถล้ำเข้ามาในทางเดินรถผู้ตาย ผู้ตายเปิดไฟสัญญาณที่รถเตือนแต่รถจำเลยคงแล่นเข้ามาชนรถผู้ตายพลิกคว่ำ นายสุนทรเบิกความว่า จุดชนอยู่ในทางเดินรถผู้ตายห่างจากจุดกึ่งกลางถนนเข้าไปประมาณ 2 เมตร นายบุษบาเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุนายบุษบากับนางบุญยังภรรยาโดยสารรถผู้ตายมาด้วยโดยนั่งอยู่บริเวณกระบะท้าย เห็นรถจำเลยแล่นล้ำกึ่งกลางถนนเข้ามาชนรถผู้ตายในทางเดินรถของผู้ตาย เมื่อได้พิจารณาสภาพความเสียหายที่รถยนต์ทั้งสองคันได้รับแล้ว ปรากฏว่าบริเวณประตูด้านขวาของรถจำเลยมีรอยบุบครูดล้อหน้าด้านขวาของรถถูกชนหักครูดกับถนนส่วนรถผู้ตายบริเวณประตูรถด้านข้างคนขับและกระบะด้านขวามีรอยถูกเฉี่ยวชนอันสอดคล้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามปากข้างต้น นอกจากนี้โจทก์ยังมีร้อยตำรวจเอกพนัส บุญย่านยาวพนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันว่า เมื่อได้รับแจ้งเหตุได้ไปยังสถานที่เกิดเหตุพบว่า จุดที่รถชนกันอยู่ในทางเดินรถผู้ตายห่างจากเส้นแบ่งครึ่งถนนประมาณ 1 เมตร และมีรอยครูดอันเกิดจากกระทะล้อรถจำเลยครูดกับพื้นถนนเริ่มจากจุดชนล้ำเข้าไปในทางเดินรถจำเลยเลยไปถึงจุดที่รถจำเลยหยุดอยู่หลังเกิดเหตุมีความยาวประมาณ 70 เมตร พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทล้ำเข้าไปชนรถยนต์คันที่ผู้ตายขับในทางเดินรถของผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายทันทีและนางบุญยัง สมนอก ได้รับบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา นายสุนทร สังเกตุและนายชาญณรงค์ สนองคุณได้รับอันตรายสาหัส และนายบุษบา ภิญโญฤทธิ์ ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า รถจำเลยถูกรถผู้ตายซึ่งขับล้ำเข้ามาในทางเดินรถจำเลยแล้วดึงรถจำเลยเข้าไปในทางเดินรถผู้ตายนั้น ความปรากฏว่าขณะเกิดเหตุรถผู้ตายกับรถจำเลยกำลังแล่นสวนทางกัน หลังเกิดเหตุชนกันแล้วรถจำเลยคงแล่นต่อไปได้ถึง 70 เมตร จึงเป็นไปไม่ได้ตามที่จำเลยนำสืบ ข้อต่อสู้จำเลยไม่อาจฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต่อมาว่า จำเลยกระทำผิดฐานหลบหนีไม่ช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ตายและผู้บาดเจ็บ ไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160 วรรคสอง หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนายดาบตำรวจแปลก นอบไทย และพลตำรวจวิสูตร คงอินทร์ ว่า เมื่อได้รับแจ้งเหตุได้มายังที่เกิดเหตุพบจำเลย จำเลยได้รับบาดเจ็บคิ้วข้างขวาแตก ได้เข้าสอบถามจำเลยแล้วจำเลยแจ้งให้ทราบว่าเป็นคนขับรถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียนบ-2031 นครราชสีมา นายดาบตำรวจแปลกให้พลตำรวจวิสูตรควบคุมตัวจำเลยไว้ ในระหว่างนั้นจำเลยได้หลบหนีไป พลตำรวจวิสูตรยังเบิกความอีกว่าเมื่อพบตำรวจวิสูตรมาถึงที่เกิดเหตุในครั้งแรกกับนายดาบตำรวจแปลก ปรากฏว่ามีผู้อื่นนำส่งผู้บาดเจ็บไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว รูปคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ตายและผู้บาดเจ็บทั้งไม่ได้แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานนี้”
พิพากษายืน

Share