คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2679/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การรับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ชำระหนี้รับช่วงสิทธิของผู้รับชำระหนี้มาฟ้องผู้ที่ตบชำระหนี้แทน แต่กรณีโจทก์ฟ้องจำเลยผู้รับชำระหนี้เสียเอง ย่อมไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229(3) โจทก์เช่าโรงเรือนและที่ดินจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมตามสัญญาเช่าโจทก์มีหน้าที่ชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินแทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม และจำเลยที่ 1 ก็ยอมรับชำระค่าภาษีดังกล่าวจากโจทก์แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินหากจำเลยที่ 1 เรียกเก็บภาษีดังกล่าวเกินไป โจทก์ย่อมเรียกเงินส่วนนั้นคืนได้ แม้ว่าโจทก์จะไม่เป็นผู้รับประเมินและไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินหรือผู้ยื่นคำขอให้จำเลยที่ 2พิจารณาประเมินใหม่โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องด้วยอำนาจแห่งสิทธิของโจทก์เอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่ากิจการโรงงานสุราบางยี่ขันจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ตามสัญญาเช่าฉบับปี พ.ศ. 2523-2537 เป็นการเช่าที่ดินอาคาร ยานพาหนะและทรัพย์สินอื่น ๆ ทรัพย์สินเฉพาะโรงเรือนและที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตพระนครได้แก่โรงเรือนและที่ดินซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนวัดสามพระยาและที่ตั้งอยู่ที่ถนนพระสุเมรุ แขวงวัดชนะสงคราม เขตพระนครกำหนดค่าเช่าไว้ปีละ 147,100 บาท และได้จดทะเบียนการเช่าไว้แต่เงื่อนไขตามสัญญาเช่าได้กำหนดให้โจทก์เป็นผู้เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินแทนผู้ให้เช่า โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นเงินปีละ 18,387.50 บาท เมื่อวันที่24 มิถุนายน 2530 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ให้เช่าได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี พ.ศ. 2530สำหรับโรงเรือนและที่ดินที่ตั้งอยู่ที่ถนนวัดสามพระยา จำนวนเงิน45,567.50 บาท ไปชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ตามใบแจ้งการประเมินแทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตามเงื่อนไขในสัญญา และต่อมาเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2531 กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี พ.ศ. 2531สำหรับโรงเรือนและที่ดินที่ตั้งอยู่ที่ถนนพระสุเมรุ จำนวน397,200 บาท ไม่ชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ตามใบแจ้งการประเมินโจทก์เห็นว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยที่ 1ประจำปี พ.ศ. 2530 และ 2531 ดังกล่าวไม่ถูกต้อง จึงขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินอีกครั้งหนึ่ง โดยโจทก์ได้นำเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี พ.ศ. 2530 จำนวน 45,567.50 บาทและปี พ.ศ. 2531 จำนวนเงิน 397,200 บาท รวมเป็นเงิน442,767.50 บาท ไปชำระให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 2ได้รับคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินดังกล่าวแล้ว ได้มีคำชี้ขาดให้เสียภาษีตามที่เจ้าพนักงานเก็บภาษีของจำเลยที่ 1 ได้ประเมินไว้ โจทก์เห็นว่าการประเมินของจำเลยที่ 1 และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะกรมโรงงานอุตสาหกรรมมีหน้าที่เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินเพียงปีละ18,387.50 บาท รวม 2 ปี เป็นเงิน 36,775 บาท การที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมไม่ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยอ้างว่าขัดต่อมติของคณะรัฐมนตรี ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและต้องชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินเกินกว่ากฎหมาย โจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิมีส่วนได้เสียในการชำระหนี้ภาษีดังกล่าวแทนกรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงจำเป็นต้องนำคดีมาฟ้อง ขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยที่ 1 และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 สำหรับปี พ.ศ. 2530 และ 2531โดยให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับปีดังกล่าวเป็นเงินปีละ 18,387.50 บาท รวม 2 ปีเป็นเงิน 36,775 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินภาษีโรงเรือนและที่ดินที่เรียกเก็บเกินไป จำนวน 405,992.50 บาท แก่โจทก์กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 405,992.50 บาท นับแต่วันที่จำเลยที่ 1ได้รับชำระเงินภาษีไว้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินคืนแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่ใช่ผู้รับประเมินเพราะไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษี การยื่นคำขอให้พิจารณาการประเมินอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมผู้รับประเมินและเจ้าของทรัพย์สินเป็นผู้ยื่นคำร้องมาโดยตลอด โดยโจทก์ไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายและอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมก็ไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินคดีแทน โจทก์ไม่ใช่ผู้รับช่วงสิทธิจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1ได้ถือเกณฑ์การประเมินค่ารายปีเป็นตารางเมตร โดยอาศัยสภาพของโรงเรือนและที่ดินตลอดจนลักษณะการประกอบกิจการใช้ประโยชน์ในโรงเรือนและที่ดินนั้น นำมาเปรียบเทียบกับโรงเรือนและที่ดินรายอื่นที่ตั้งอยู่ในทำเลใกล้เคียงกัน มีสภาพตลอดจนลักษณะการประกอบกิจการคล้ายคลึงกัน เห็นว่า อัตราค่าเช่าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมให้โจทก์เช่าสำหรับโรงเรือนและที่ดินซึ่งโจทก์ถือเป็นค่ารายปีเพื่อเสียภาษีนั้นต่ำกว่าบริเวณใกล้เคียงจึงมิใช่ค่าเช่าอันสมควรตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 8 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจแก้หรือคำนวณค่ารายปีเสียใหม่ได้การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยที่ 1 และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยที่ 1และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 โดยให้โจทก์ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินตามฟ้องของปี พ.ศ. 2530 และ 2531 เป็นเงินปีละ18,387.50 บาท รวม 2 ปี เป็นเงิน 36,775 บาท ให้จำเลยที่ 1คืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินส่วนที่โจทก์ชำระเกินไปจำนวน405,992.50 บาทแก่โจทก์ ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไปหากไม่คืนภายในกำหนดดังกล่าวให้จำเลยที่ 1เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวน405,992.50 บาท นับถัดจากวันครบกำหนด 3 เดือนดังกล่าวเป็นต้นไปจนกว่าจะคืนเงินค่าภาษีแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วปัญหาแรกที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าการรับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ชำระหนี้รับช่วงสิทธิของผู้รับชำระหนี้มาฟ้องผู้ที่ตนชำระหนี้แทน แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองผู้รับชำระหนี้เสียเอง จึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229(3) ที่โจทก์จะรับช่วงสิทธิจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ดังที่จำเลยอุทธรณ์ แต่ตามสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับกรมโรงงานอุตสาหกรรม โจทก์ผู้เช่ามีหน้าที่ชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินแทนกรมโรงงานอุตสาหกรรมผู้ให้เช่าและจำเลยที่ 1 ก็ยอมรับชำระค่าภาษีดังกล่าวจากโจทก์แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการชำระภาษีโรงเรือนและที่ดิน หากจำเลยที่ 1 เรียกเก็บภาษีดังกล่าวเกินไป จำเลยที่ 1ก็หามีสิทธิที่จะยึดเงินส่วนที่เกินไว้โดยไม่คืนให้แก่ผู้มีสิทธิในเงินจำนวนนั้นไม่ เมื่อโจทก์เป็นผู้ชำระเงินส่วนที่อ้างว่าเกินนั้นโจทก์ย่อมเรียกเงินส่วนนั้นคืนได้ แม้ว่าโจทก์จะไม่เป็นผู้รับประเมินและไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สิน หรือผู้ยื่นคำขอให้จำเลยที่พิจารณาประเมินใหม่ดังที่จำเลยอุทธรณ์ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้รับประเมินไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินคดีแทนนั้น เมื่อได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ด้วยอำนาจแห่งสิทธิของโจทก์เองแล้ว กรณีจึงมิใช่เป็นการฟ้องแทนกรมโรงงานอุตสาหกรรมผู้ให้เช่า โจทก์ไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจจากอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมให้ดำเนินคดีแทนแต่อย่างใด
ปัญหาตามอุทธรณ์ข้อต่อไปของจำเลยทั้งสองมีว่า การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยที่ 1 และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับกันว่า โจทก์ถือค่าเช่าโรงเรือนและที่ดินที่โจทก์เช่าจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลักในการคำนวณค่ารายปีเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับปี พ.ศ. 2530 และ 2531 ให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นเงินปีละ 18,387.50 บาทรวม 2 ปี เป็นเงิน 36,775 บาทแต่จำเลยทั้งสองเห็นว่าค่าเช่านั้นมิใช่จำนวนเงินอันสมควรที่โรงเรือนและที่ดินพิพาทจะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ และได้ประเมินและมีคำชี้ขาดให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นเงิน442,767.50 บาท จึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า ค่าเช่าที่โจทก์ใช้หลักในการคำนวณค่ารายปีนั้น เป็นจำนวนเงินอันสมควรหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าเช่าที่โจทก์ใช้เป็นหลักในการคำนวณค่ารายปีคดีนี้เป็นค่าเช่าโรงเรือนและที่ดินที่ตั้งอยู่ที่แขวงวัดสามพระยาและแขวงวัดชนะสงคราม ซึ่งตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.11แผ่นที่ 85 (ล.1 แผ่นที่ 27) กำหนดค่าเช่าปีละ 147,100 บาทสัญญาเช่าฉบับนี้โจทก์กับกระทรวงการคลังทำกันไว้เป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย และผู้ให้เช่าเป็นคู่สัญญากับโจทก์ผู้เช่าก็เป็นกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นส่วนราชการ ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าก่อนที่กระทรวงการคลังจะทำสัญญาให้โจทก์เป็นผู้เช่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ของกระทรวงการคลังจะต้องพิจารณาแล้วว่าจำนวนค่าเช่าที่ตกลงกันนั้นเป็นจำนวนอันสมควรที่ทรัพย์สินนั้นจะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของทางราชการมิให้เสียเปรียบแก่โจทก์ และจำเลยมิได้โต้แย้งว่าค่าเช่าตามสัญญานั้นคิดจากการสมยอมกันกำหนดในอัตราที่ต่ำกว่าปกติ ยิ่งกว่านั้นคณะรัฐมนตรีก็ได้เคยมีมติให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 โดยคำนวณค่ารายปีด้วยการถือเอาค่าเช่าตามมติคณะรัฐมนตรีเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่ารายปีด้วยตามเอกสารหมาย จ.11 แม้ว่ามติคณะรัฐมนตรีเช่นว่านี้จะมิใช่กฎหมายที่มีผลบังคับให้จำเลยทั้งสองจะต้องถือปฏิบัติตามดังที่จำเลยอุทธรณ์ก็ตาม แต่ก็เป็นมติที่เกิดจากการประชุมปรึกษาหารือกันในคณะรัฐมนตรี ซึ่งย่อมต้องผ่านการพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ ด้วยความละเอียดรอบคอบ เพื่อระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติมิให้เสียหายเช่นกัน จึงไม่มีเหตุสงสัยว่าจะกระทำไปเพื่อช่วยเหลือโจทก์ซึ่งเป็นเอกชนคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐบาลแต่อย่างใด ด้วยเหตุผลดังวินิจฉัยข้างต้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าค่าเช่าโรงเรือนและที่ดินที่กำหนดในสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับกระทรวงการคลังเป็นเงินปีละ 147,100 บาท เป็นจำนวนอันสมควรที่ทรัพย์สินนั้นจะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ เมื่อโจทก์ใช้ค่าเช่านั้นเป็นหลักในการคำนวณค่ารายปี และไม่มีเหตุบ่งชี้ให้เห็นว่าค่าเช่านั้นมิใช่จำนวนเงินอันสมควร พนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่มีอำนาจแก้หรือคำนวณค่ารายปีเสียใหม่ได้ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 8 การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยที่ 1 และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาเพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดของจำเลยและให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีให้โจทก์ชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share