แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเบิกเงินเกินบัญชีตามเอกสารหมาย 33 และ 34 ท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง เอกสารดังกล่าวมีรายละเอียดของรายการต่าง ๆ โดยละเอียดคำฟ้องของโจทก์ถือได้ว่า แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
สัญญากู้ระบุว่า ผู้กู้ตกลงจะชำระหนี้ตามสัญญานี้ภายในวันที่ 27 สิงหาคม 2525แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการตัดสิทธิผู้ให้กู้ที่จะเรียกร้องให้ผู้กู้ชำระหนี้ตามสัญญานี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก่อนถึงกำหนดก็ได้ตามแต่ผู้ให้กู้จะเห็นสมควรและโดยมิพักต้องชี้แจงแสดงเหตุ ผู้กู้สัญญาว่าในกรณีที่ผู้ให้กู้เรียกร้องให้ชำระหนี้ ผู้กู้จะชำระหนี้ที่เรียกร้องทันที ข้อสัญญานี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงมีผลผูกพัน
จำเลยทำสัญญากู้เงินจากโจทก์ 3 ครั้ง และได้รับเงินทั้ง 3 ครั้ง และทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์อีก 3 ครั้ง การเบิกเงินเกินบัญชีทำโดยจำเลยสั่งจ่ายเช็ค และยอมให้โจทก์หักทอนค่าธรรมเนียมกับดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้แล้วรวมเข้ากับต้นเงิน เมื่อถึงสิ้นเดือนโจทก์มีบัญชีควบคุม แม้บัญชีต่าง ๆ ฝ่ายโจทก์เป็นผู้จัดทำขึ้นเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากจำเลยก่อนก็ตามแต่ไม่มีพิรุธ จำเลยคงมีแต่จำเลยเบิกความลอย ๆ ว่าหนี้ไม่ถูกต้อง จึงไม่อาจรับฟังหักล้างพยานฝ่ายโจทก์
ทนายโจทก์ส่งหนังสือบอกเลิกสัญญากู้ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และบอกกล่าวบังคับจำนองทางไปรษณีย์ตอบรับลงทะเบียนให้จำเลย แต่ไม่ได้รับใบตอบรับโดยไม่ทราบเหตุขัดข้อง จึงทำคำร้องขอไต่สวนไปรษณีย์ตอบรับในประเทศว่าส่งหนังสือได้หรือไม่ เมื่อใด และใครเป็นผู้รับหนังสือต่อมาทนายโจทก์ได้รับแจ้งจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยว่า ส่งได้โดยระบุวันที่ส่งและชื่อผู้รับด้วยใบตอบรับที่เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จัดทำขึ้นตามหน้าที่ ทั้งระบุสถานที่นำหนังสือไปส่งตรงกับภูมิลำเนาของจำเลย แม้ไม่มีลายมือชื่อผู้รับก็ตาม แต่เป็นเอกสารที่ทำภายหลังจากทนายโจทก์ได้ทำคำร้องขอไต่สวนไป การไม่มีชื่อของผู้รับในใบตอบรับจึงไม่มีพิรุธ ถือได้ว่าจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยแล้ว การฟ้องคดีของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยจำนวน๕๗,๐๗๓,๖๒๖.๓๖ บาท ที่จำเลยที่ ๑ กู้ไปจากโจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๔ นำหลักทรัพย์มาจดทะเบียนจำนองค้ำประกัน และจำเลยที่ ๒ กับที่ ๓ ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้กับให้จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ในจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็น-ต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระก็ขอให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ ๑และที่ ๔ ขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ หากไม่พอชำระหนี้ก็ขอให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๑ และที่ ๔ มาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า หนี้ตามฟ้องทั้งสิ้นยังไม่ถึงกำหนดชำระ โจทก์ทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขการจดทะเบียนหลักทรัพย์ จำนวนเงินประกันเงินกู้หรือเบิกเงินเกินบัญชี จำเลยไม่เคยรับเงินจากโจทก์ รายการตามบัญชีของโจทก์ที่โจทก์อนุมัติจ่ายเงินแก่ผู้นำเช็คไปขอรับเงินจากโจทก์ไม่ถูกต้องเพราะการหักทอนบัญชีผิดพลาดหลายรายการ เช็คที่นำไปเบิกเงินในบัญชีของจำเลยที่โจทก์อนุมัติจ่ายไป บางรายการเป็นเช็คปลอม โจทก์ไม่มีอำนาจจ่ายเงินตามเช็คนั้น ฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่า จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์เมื่อใดคราวใด จำนวนเท่าใด และนำเงินเข้าชำระหนี้โจทก์ยอดลดลงเท่าใดและคิดดอกเบี้ยข้างต้นตามระยะเวลาใด และนำเงินเข้าเพิ่มเป็นยอดหนี้ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดเท่าใด ตามระยะเวลาไหน จำนวนเท่าใดในการ์ดบัญชีเบิกเงินเกินบัญชีและลดยอดหนี้และดอกเบี้ยทบต้นตามประเพณีของธนาคารเมื่อใด จำนวนเงินเท่าใด จำเลยไม่อาจทราบและเข้าใจได้ถูกต้อง ทั้งจำเลยไม่มีความรู้ทางบัญชีของธนาคาร จึงให้การต่อสู้คดีไม่ได้ ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่เคยได้รับการบอกกล่าวทวงถามจากโจทก์ โจทก์ไม่เคยแจ้งยอดรายการหนี้สินทุกประเภทให้จำเลยทั้งสี่ทราบเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๕๗,๐๗๓,๖๒๖.๓๖ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปี จากต้นเงิน๕๔,๗๕๑,๕๖๐.๓๖ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ สำหรับจำเลยที่ ๔ให้ชำระหนี้แก่โจทก์ในวงเงินจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในจำนวนหนี้ทั้งหมดของจำเลยที่ ๑พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปี ในวงเงินดังกล่าวนับแต่วันจำนองจนกว่าชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น หากจำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ดังกล่าวไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์สินจำนองของจำเลยที่ ๑ และที่ ๔มาขายทอดตลาดชำระหนี้ตามส่วนหนี้แต่ละคนต้องรับผิด หากไม่พอชำระหนี้ให้โจทก์ก็ให้บังคับเอาทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๑ มาขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้รายละเอียดต่าง ๆ ของการเบิกเงินจากบัญชีไปจากโจทก์ ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เบิกเงินเกินบัญชีตามเอกสารหมายเลข ๓๓ และ ๓๔ ท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง ปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวมีรายละเอียดของรายการต่าง ๆ ไว้โดยละเอียดแล้ว จำเลยย่อมสามารถตรวจสอบได้ คำฟ้องของโจทก์จึงถือได้ว่าได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ปัญหาหนี้ยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระ และจำเลยไม่เคยได้รับเงิน วินิจฉัยว่าพิเคราะห์สัญญากู้เอกสารหมาย จ.๑๖ ซึ่งเป็นสัญญาหลักของการกู้เงินทั้งหมดแล้วปรากฏว่าสัญญาข้อ ๓ ระบุว่าผู้กู้ตกลงจะชำระหนี้ตามสัญญานี้ภายในวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๒๔ แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการตัดสิทธิผู้ให้กู้ที่จะเรียกร้องให้ผู้กู้ชำระหนี้ตามสัญญานี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก่อนถึงกำหนดที่กล่าวมาก็ได้ ตามแต่ผู้ให้กู้จะเห็นสมควรและโดยมิพักต้องชี้แจงแสดงเหตุ ผู้กู้สัญญาว่าในกรณีที่ผู้ให้กู้เรียกร้องดังกล่าวมานี้ ผู้กู้จะชำระหนี้ตามเรียกร้องทันที เห็นว่าหาเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใดไม่ สัญญามีผลผูกพันกันได้แม้สัญญาข้อ ๔ จะมีข้อกำหนดให้โจทก์เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่าปีหนึ่งทบเข้ากับต้นเงินแล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนที่ทบเข้ากันนั้นได้ และโจทก์ได้คิดดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญาดังกล่าวก็ตาม โจทก์ก็ยังมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ผู้กู้ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดตามสัญญาได้ ข้อที่ว่าจำเลยมิได้รับเงินนั้น ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับเงินตามสัญญากู้และสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ตามฟ้อง และแม้จะฟังว่าบัญชีต่าง ๆ ฝ่ายโจทก์เป็นผู้จัดทำขึ้นเองไม่ได้รับความเห็นชอบของจำเลยก็ตาม แต่ก็ไม่มีพิรุธ คงมีแต่ตัวจำเลยที่ ๒ เบิกความลอย ๆ ว่าหนี้ดังกล่าวไม่ถูกต้องเห็นว่าไม่อาจฟังหักล้างพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ได้
ปัญหาโจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามแล้วหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าทนายโจทก์ได้ส่งหนังสือเอกสารหมาย จ.๑ บอกเลิกสัญญากู้ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและบอกกล่าวบังคับจำนองทางไปรษณีย์ตอบรับลงทะบียนให้จำเลยนำเงินชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๕ พยานไม่ได้รับใบตอบรับของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ โดยไม่ทราบเหตุขัดข้องจนปลายเดือนมีนาคม ๒๕๒๕ จึงไปทำคำร้องขอไต่สวนไปรษณีย์ตอบรับภายในประเทศเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๒๕ ว่าส่งหนังสือได้หรือไม่ เมื่อไร และใครเป็นผู้รับหนังสือ ต่อมากลางเดือนเมษายน ๒๕๒๔ ได้รับแจ้งจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยว่า หนังสือที่ส่งให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ นั้น ส่งได้เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๒๕ โดยนายไล้ แซ่ตั้ง เป็นผู้รับไว้ตามใบตอบรับและหนังสือแจ้งของนายไปรษณีย์โทรเลขเอกสารหมาย จ.๓ ถึง จ.๘ และวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามจากโจทก์แล้วตามใบรับตอบรับนั้น เพราะเป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานได้จัดทำขึ้นตามหน้าที่ซึ่งเชื่อได้ว่าข้อความในเอกสารดังกล่าวเป็นความจริงจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ นำสืบปฏิเสธมาลอย ๆ และตอบทนายโจทก์ถามค้านถึงภูมิลำเนาของตนเองก็ตรงกับที่เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ได้บันทึกมาในเอกสารหมาย จ.๓ ถึง จ.๘ และแม้ใบตอบรับเอกสารหมาย จ.๓ จ.๕ และ จ.๗ ไม่มีลายมือชื่อผู้รับก็ตาม แต่เป็นเอกสารที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ทำภายหลังที่นายอุดมศักดิ์ได้ทำคำร้องขอไต่สวนไป การไม่มีลายมือชื่อของผู้รับในใบตอบรับจึงไม่เป็นพิรุธแต่อย่างใด เชื่อได้ว่าจำเลยได้รับหนังสือเอกสารหมาย จ.๑ แล้วในเอกสารหมาย จ.๑ ได้ระบุหนี้ทั้งหมดไว้ชัดแจ้ง ซึ่งโจทก์ได้ทวงถามจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ผู้ค้ำประกันกับจำเลยที่ ๔ ผู้จำนองให้ชำระหนี้ทั้งหมดภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๔ จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ผู้ค้ำประกันซึ่งยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ให้โจทก์และบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยที่ ๔ ผู้จำนองแล้ว การฟ้องคดีของโจทก์ในคดีนี้จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พิพากษายืน.