คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1237/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ จำเลยต่อสู้ว่าได้ชำระให้แก่นายขาบสามีโจทก์แล้ว นายขาบร้องสอดเข้ามารับว่าได้รับชำระไว้แทนโจทก์แล้ว วันชี้สองสถาน ศาลกำหนดหน้าที่ให้จำเลยนำสืบก่อน จำเลยแถลงว่าถ้าโจทก์ยอมรับว่าขณะทำสัญญาซื้อขายที่ดิน นายขาบได้ยินยอมรู้เห็นด้วยจำเลยก็ไม่นำสืบ โจทก์ยอมรับ คู่ความต่างไม่สืบพยาน
ดังนี้ เมื่อจำเลยมีหน้าที่ต้องนำสืบให้สมประเด็นข้อต่อสู้กลับไม่สืบจะอาศัยแต่เพียงการรับของโจทก์ว่าขณะทำสัญญาซื้อขาย นายขาบได้ยินยอมรู้เห็นด้วยเท่านั้น ไม่พอ หากจะฟังว่าขณะนั้นนายขาบเป็นสามีโจทก์ ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นสามีที่ร้างกันหรืออยู่กินด้วยกันตามปกตินามสกุลก็ใช้ต่างกัน เมื่อฟ้องคดีโจทก์ก็อ้างว่าเป็นหญิงหม้าย จำเลยมิได้นำสืบว่านายขาบยังเป็นสามีโจทก์อยู่ และมีอำนาจที่จะรับชำระหนี้แทนโจทก์ได้แต่อย่างใด การที่จำเลยอ้างว่าได้ทำการชำระหนี้รายนี้แก่นายขาบแม้จะเป็นจริง ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ทำการชำระหนี้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยจึงต้องแพ้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินแต่ยังค้างชำระราคาอีก 10,000 บาท จึงทำสัญญากู้ให้โจทก์ ครบกำหนดจำเลยไม่ชำระขอให้จำเลยชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริงแต่ได้ชำระให้แก่นายขาบสามีโจทก์ไปเสร็จแล้ว เมื่อจำเลยซื้อที่ดินจากโจทก์ นายขาบก็ได้ให้คำยินยอมในนิติกรรมนั้น จำเลยเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจจึงชำระหนี้รายนี้ให้นายขาบสามีโจทก์รับแทนไป

นายขาบยื่นคำร้องเข้ามา กล่าวว่าเป็นสามีโจทก์ได้รับเงินรายนี้แทนโจทก์ไปจากจำเลยแล้ว และได้ทำใบเสร็จรับเงินให้แก่จำเลยไว้จริง

วันชี้สองสถานศาลกำหนดหน้าที่ให้จำเลยนำสืบก่อน จำเลยแถลงว่าถ้าโจทก์ยอมรับว่าขณะทำสัญญาซื้อขายที่ดิน นายขาบได้ยินยอมรู้เห็นด้วย จำเลยก็ไม่นำสืบโจทก์ยอมรับตามนี้ คู่ความต่างไม่ติดใจสืบพยานต่อไป

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 10,000 บาท ดอกเบี้ย 750 บาท ค่าทวงถาม 100 บาท รวม 10,850 บาท แก่โจทก์ ฯลฯ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องตามศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าสัญญากู้มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ โจทก์ควรได้ดอกเบี้ยร้อยละ 7 1/2 ต่อปี เท่านั้นพิพากษาแก้เฉพาะในเรื่องดอกเบี้ยให้จำเลยใช้ดอกเบี้ย 343 บาท75 สตางค์ นอกนั้นคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยจะต้องนำสืบให้สมตามประเด็นข้อต่อสู้แต่จำเลยกลับไม่นำสืบ เพียงแต่การที่ฝ่ายโจทก์แถลงยอมรับว่า ขณะทำสัญญาซื้อขายที่ดิน นายขาบได้ยินยอมรู้เห็นด้วยเท่านั้นไม่เพียงพอหากจะฟังว่าขณะนั้นนายขาบเป็นสามีโจทก์ ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นสามีที่ร้างกันหรืออยู่กินด้วยกันตามปกติ นามสกุลก็ใช้ต่างกัน เมื่อฟ้องคดี โจทก์ก็อ้างว่าโจทก์เป็นหญิงหม้าย จำเลยมิได้นำสืบว่านายขาบยังเป็นสามีโจทก์อยู่และมีอำนาจที่จะรับชำระหนี้แทนโจทก์ได้แต่อย่างใดการที่จำเลยอ้างว่าได้ทำการชำระหนี้รายนี้แก่นายขาบแม้จะเป็นความจริง ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ทำการชำระหนี้โดยชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายืน

Share