คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4167/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประเด็นเรื่องราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบ ข้อมูลเกี่ยวกับราคาสินค้าของผู้นำเข้ารายอื่น บัตรราคาสินค้าของกองวิเคราะห์ราคา กรมศุลกากร และรายละเอียดการสำแดงราคาสินค้าส่งออกของบริษัทที่จำหน่ายสินค้าให้แก่จำเลยและลูกค้ารายอื่น ๆ ที่กรมศุลกากรเมืองฮ่องกง ส่งมาให้โจทก์ที่ 1 นั้น เป็นข้อมูลที่สามารถนำมาประกอบการพิจารณาเปรียบเทียบเพื่อบ่งชี้ว่าสินค้าที่จำเลยนำเข้านั้นมีราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเท่าใด โจทก์ที่ 1 จึงชอบที่จะนำพยานหลักฐานมาสืบถึงข้อมูลดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่ 1 และพยานจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 14 มกราคม และ18 มีนาคม 2514 จำเลยที่ 1 นำนาฬิกาข้อมือเข้ามาในราชอาณาจักรโดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าสำแดงราคาสินค้าและภาษีอากรต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 พิจารณาแล้วเห็นว่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 นำเข้ายังไม่มีราคาท้องตลาดเทียบเคียงเพื่อประเมินภาษีอากรในขณะนั้นได้จึงสั่งให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีอากรตามราคาที่สำแดงไปก่อน และวางเงินประกันภาษีอากรอีกส่วนหนึ่งและได้ชักตัวอย่างสินค้าไว้ตรวจสอบแล้วปล่อยสินค้าไป ต่อมาพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ตรวจสอบราคาสินค้าที่จำเลยที่ 1 สำแดงปรากฏว่าราคาสินค้าที่จำเลยที่ 1 สำแดงต่ำกว่าราคาท้องตลาด จึงประเมินราคาสินค้าและภาษีอากรเพิ่มและแจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมชำระและมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินภาษีอากรเพิ่มรวมเป็นเงิน 84,529.02 บาท พร้อมเงินเพิ่มอากรขาเข้าอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกเก็บภาษีอากรเพิ่มและเงินเพิ่มฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลและเงินเพิ่มภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 39,814.42 บาท ยกฟ้องโจทก์ที่ 1
โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ในชั้นนี้คงมีเพียงว่าคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่ 1 และพยานจำเลยของศาลภาษีอากรกลางชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และการประเมินอากรขาเข้าและเงินเพิ่มของโจทก์ที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ สำหรับประเด็นแรกเรื่องคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่ 1 นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 2 วรรคสิบสองบัญญัติว่า “คำว่า “ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด”หรือ “ราคา” แห่งของอย่างใด นั้น หมายความว่าราคาขายส่งเงินสด(ในส่วนของขาเข้าไม่รวมค่าอากร) ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้ โดยไม่ขาดทุน ณ เวลา และที่ที่นำของเข้าหรือส่งของออก แล้วแต่กรณีโดยไม่หักทอน หรือลดหย่อนราคาอย่างใด”ตามบทนิยามความหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่าประเด็นเรื่องราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบคดีนี้โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า โจทก์ตรวจพบว่าจำเลยสำแดงราคาตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาด โดยโจทก์อาศัยข้อมูลจากการที่มีผู้นำสินค้าประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกับรายอื่นเข้ามาประกอบกับบัตรราคาสินค้าของกองวิเคราะห์ราคา กรมศุลกากร ที่กำหนดราคากลางไว้ในระยะเวลาใกล้เคียงกันเป็นเกณฑ์ อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากกรมศุลกากรเมืองฮ่องกง ส่งรายละเอียดการสำแดงราคาสินค้าส่งออกของบริษัทที่จำหน่ายนาฬิกาข้อมือให้จำเลยและลูกค้ารายต่าง ๆในประเทศไทยมาให้โจทก์ที่ 1 ด้วย ดังนี้ เห็นว่า แหล่งข้อมูลราคาสินค้าที่โจทก์ที่ 1 ใช้เปรียบเทียบหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของราคาสินค้าตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องนั้นล้วนเป็นข้อมูลที่โจทก์ที่ 1 ชอบที่จะนำมาใช้พิจารณาประกอบการเปรียบเทียบหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะแหล่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาประกอบพิจารณาเปรียบเทียบแล้วบ่งชี้ให้เห็นได้ว่า สินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้านั้นมีราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเท่าใด โจทก์ที่ 1 ชอบที่จะนำสืบพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของตนตามคำฟ้องได้ คำสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่ 1 และพยานจำเลยของศาลภาษีอากรกลางจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายส่วนประเด็นที่ว่าการประเมินอากรขาเข้าและเงินเพิ่มของโจทก์ที่ 1ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เมื่อโจทก์ที่ 1 และจำเลยยังไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างของตนตามคำฟ้องและคำให้การในชั้นนี้จึงยังไม่มีข้อเท็จจริงที่จะให้รับฟังเป็นยุติได้ว่าการประเมินอากรขาเข้าและเงินเพิ่มของโจทก์ที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ กรณีต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์ที่ 1 และจำเลยเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ให้งดสืบพยานโจทก์ที่ 1 และจำเลยและยกคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 ให้ศาลภาษีอากรกลางทำการสืบพยานโจทก์ที่ 1 และจำเลยเกี่ยวกับประเด็นเรื่องราคาอันแท้จริงในท้องตลาด แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทั้งสองในชั้นนี้ให้ศาลภาษีอากรกลางรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง.

Share