คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4167/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ประเด็นเรื่องราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบ ข้อมูลเกี่ยวกับราคาสินค้าของผู้นำเข้ารายอื่น บัตรราคาสินค้าของกองวิเคราะห์ราคา กรมศุลกากร และรายละเอียดการสำแดงราคาสินค้าส่งออกของบริษัทที่จำหน่ายสินค้าให้แก่จำเลยและลูกค้ารายอื่น ๆ ที่กรมศุลกากรเมืองฮ่องกงส่งมาให้โจทก์ที่ 1 สามารถนำมาประกอบการพิจารณาเปรียบเทียบเพื่อบ่งชี้ว่าสินค้าที่จำเลยนำเข้านั้นมีราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเท่าใดได้ โจทก์ที่ 1 จึงชอบที่จะนำพยานหลักฐานมาสืบถึงข้อมูลดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 นำนาฬิกาข้อมือเข้ามาในราชอาณาจักร โดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าสำแดงราคาสินค้าและภาษีอากรต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 พิจารณาแล้วเห็นว่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 นำเข้ายังไม่มีราคาท้องตลาดเทียบเคียงเพื่อประเมินภาษีอากรในขณะนั้นได้จึงสั่งให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีอากรตามราคาสินค้าที่สำแดงไปก่อน และวางเงินประกันภาษีอากรอีกส่วนหนึ่งและได้ชักตัวอย่างสินค้าไว้ตรวจสอบแล้วตรวจปล่อยสินค้าไป ต่อมาพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ตรวจสอบราคาสินค้าตามที่จำเลยที่ 1สำแดง โดยอาศัยข้อมูลจากการที่มีผู้นำสินค้าประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกันรายอื่นเข้ามาประกอบกับบัตรราคาสินค้ากองวิเคราะห์ราคากรมศุลกากร ที่กำหนดราคากลางไว้ในระยะเวลาใกล้เคียงกันเป็นเกณฑ์ อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากกรมศุลกากรเมืองฮ่องกงส่งรายละเอียดการสำแดงราคาสินค้าส่งออกของบริษัทที่จำหน่ายนาฬิกาข้อมือให้แก่จำเลย และลูกค้ารายต่าง ๆ ในประเทศไทยมาให้โจทก์ที่ 1 อีกด้วย ปรากฏว่าราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาด พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 จึงประเมินราคาสินค้าและภาษีอากรเพิ่มและแจ้งการประเมินภาษีให้จำเลยนำเงินภาษีอากรที่ต้องชำระเพิ่มไปชำระ จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมชำระและมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันชำระเงินภาษีอากร 84,529.02 บาท และเงินเพิ่มอากรขาเข้าอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนในต้นเงินอากรขาเข้า 18,653.56 บาทเป็นรายเดือน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า เป็นราคาท้องตลาดที่จำเลยซื้อจากบริษัทผู้จำหน่าย โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกเก็บภาษีอากรเพิ่มและเงินเพิ่มขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลและเงินเพิ่มภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแก่โจทก์ที่ 2 เป็นจำนวน 39,814.42 บาท ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลภาษีอากรกลางชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่และราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าตามฟ้องทั้งสองฉบับ เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดหรือไม่ และสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่โจทก์จะนำสืบแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัย จึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม แต่พยานหลักฐานที่โจทก์จะนำสืบตามคำฟ้องเกี่ยวกับประเด็นเรื่องราคาอันแท้จริงในท้องตลาดนั้น ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบเพื่อหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ตามบทนิยามความหมายของคำว่า “ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 2 วรรคสิบสอง แห่งพระราชบัญญัติ ศุลกากร พ.ศ. 2469 ได้จึงฟังข้อเท็จจริงว่า การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลนั้น ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินเกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล จำเลยจึงต้องรับผิดชำระภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลและเงินเพิ่มแก่โจทก์ที่ 2 จำเลยมิได้อุทธรณ์ คดีระหว่างโจทก์ที่ 2กับจำเลยทั้งสองจึงยุติแล้ว ดังนั้นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ในชั้นนี้คงมีเพียงว่าคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่ 1 และพยานจำเลยของศาลภาษีอากรกลางชอบด้วยกฎหมายหรือไม่และการประเมินอากรขาเข้าและเงินเพิ่มของโจทก์ที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ สำหรับประเด็นแรกเรื่องคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่ 1นั้น เห็นว่าพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2 วรรคสิบสองบัญญัติว่าคำว่า “ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด” หรือ “ราคา” แห่งของอย่างใด นั้นหมายความว่าราคาขายส่งเงินสด (ในส่วนของขาเข้าไม่รวมค่าอากร) ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้ โดยไม่ขาดทุนณ เวลา และที่ที่นำของเข้าหรือส่งของออก แล้วแต่กรณี โดยไม่หักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด” ตามบทนิยามความหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่าประเด็นเรื่องราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบ คดีนี้โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า โจทก์ที่ 1ตรวจสอบพบว่าจำเลยสำแดงราคาตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาด โดยโจทก์อาศัยข้อมูลการตรวจสอบราคาสินค้าจากการที่มีผู้นำสินค้าประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกันรายอื่นเข้ามา ประกอบกับบัตรราคาสินค้าของกองวิเคราะห์ราคากรมศุลกากรที่กำหนดราคากลางไว้ในระยะเวลาใกล้เคียงกันเป็นเกณฑ์ อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากกรมศุลกากรเมืองฮ่องกงส่งรายละเอียดการสำแดงราคาสินค้าส่งออกของบริษัทที่จำหน่ายนาฬิกาข้อมือให้แก่จำเลย และลูกค้ารายต่าง ๆ ในประเทศไทยมาให้โจทก์ที่ 1 ด้วย ดังนี้ เห็นว่า แหล่งข้อมูลราคาสินค้าที่โจทก์ที่ 1 ใช้เปรียบเทียบหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของราคาสินค้าตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องนั้น ล้วนเป็นข้อมูลที่โจทก์ที่ 1 ชอบที่จะนำมาใช้พิจารณาประกอบการเปรียบเทียบหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามความหมายที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2วรรคสิบสอง ดังกล่าวข้างต้นได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะแหล่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาประกอบการพิจารณาเปรียบเทียบแล้วบ่งชี้ให้เห็นได้ว่าสินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้ามานั้น ควรจะมีราคาขายส่งเงินสดซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันโดยไม่ขาดทุนณ เวลาและที่ที่นำของเข้า โดยไม่หักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใดเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเท่าใด โจทก์ที่ 1 ชอบที่จะนำสืบพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของตนตามคำฟ้องได้ คำสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่ 1 และพยานจำเลยของศาลภาษีอากรกลางจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนประเด็นที่ว่าการประเมินอากรขาเข้าและเงินเพิ่มของโจทก์ที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เมื่อโจทก์ที่ 1 และจำเลยยังไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างของตนตามคำฟ้องและคำให้การเพราะศาลภาษีอากรกลางสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่ 1 และพยานจำเลย ในชั้นนี้จึงยังไม่มีข้อเท็จจริงที่จะให้รับฟังเป็นยุติได้ว่าการประเมินอากรขาเข้าและเงินเพิ่มของโจทก์ที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ กรณีต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์ที่ 1 และจำเลยเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ให้งดสืบพยานโจทก์ที่ 1 และจำเลย และยกคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 ให้ศาลภาษีอากรกลางทำการสืบพยานโจทก์ที่ 1 และจำเลยเกี่ยวกับประเด็นเรื่องราคาอันแท้จริงในท้องตลาดแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share