คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4161/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยชกต่อยกับผู้ตายไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่เมื่อน้องชายช่วยจำเลยโดยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด จนผู้ตายล้มลง จำเลยใช้สากไม้ตำข้าวขนาดใหญ่ตีผู้ต้ายซ้ำอีก2 ที ที่ศีรษะของผู้ตายจนกะโหลกศรีษะของผู้ตายแตกเป็นหลายชิ้นสมองถูกทำลาย ดังนี้แสดงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้ตายให้ถึงแก่ความตาย การร่วมกันกระทำความผิดไม่จำเป็นต้องมีเจตนาร่วมกันมาก่อนเกิดเหตุเสมอไป อาจเกิดขึ้นในขณะที่เกิดเหตุนั้นเองก็ได้ ทั้งนี้แล้วข้อเท็จจริงแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น จำเลยกับน้องชายมิได้คบคิดกันเพื่อประทุษร้ายผู้ตายมาก่อนจำเลยเห็นผู้ตายถูกกระสุนปืนนัดแรกแต่ยังไม่ถึงแก่ความตายจำเลยก็ใช้สากไม้ตำข้าวตีทำร้ายผู้ตายช้ำในทันที ดังนี้เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีความประสงค์ที่จะช่วยน้องชายทำร้ายผู้ตายให้ถึงแก่ความตาย จึงเป็นการร่วมกันกระทำความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับนายพรหมมาจำเลยใช้อาวุธปืนและสากไม้ตำข้าวเป็นอาวุธยิงและตีประทุษร้ายผู้ตายถึงแก่ความตายโดยเจตนา จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,288 วางโทษจำคุก20 ปี และริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยกับนายพรหมมาและพวกมิใช่ร่วมกันวางแผนเพื่อประทุษร้ายผู้ตายมาก่อน การที่นายประมวลช่วยจำเลยชกต่อยผู้ตาย และนายพรหมมาช่วยจำเลยทำร้ายผู้ตายโดยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด จนล้มลงในขณะที่ผู้ตายชกต่อยกับจำเลย จากนั้นจำเลยใช้สากไม้ตำข้าวตีผู้ตาย 2 ที แล้วนายพรหมมาใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายซ้ำอีก 2 นัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น เป็นเรื่องที่ต่างคนต่างกระทำความผิดไม่ใช่ร่วมกันกระทำผิด และการที่จำเลยทำร้ายผู้ตายนั้น จำเลยมีเจตนาเพียงเพื่อทำร้ายร่างกายเท่านั้น มิได้เจตนาฆ่า จำเลยจึงมีความผิดเฉพาะตามผลแห่งการกระทำของตน พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 วางโทษจำคุก1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามฎีกาของโจทก์และคำแก้ฎีกาของจำเลย โจทก์และจำเลยมิได้โต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟัง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยเป็นพี่เขยของผู้ตายโดยได้นางบุญเฝ้าพี่ของผู้ตายเป็นภรรยา วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 20 นาฬิกา ขณะที่ผู้ตายกับนายจ้วน บิดาของผู้ตายนั่งคุยกันอยู่ทีใต้ถุนบ้าน จำเลยได้ขึ้นไปหานางบุญเฝ้าบนบ้านและบอกให้นางบุญเฝ้าเอาเสื้อมาให้เพื่อสวมใส่ไปช่วยงานศพแห่งหนึ่ง นางบุญเฝ้าได้เอาเสื้อสีแดงมาให้จำเลย จำเลยจึงด่านางบุญเฝ้าที่เอาเสื้อสีมาให้สวมใส่ไปในงานศพ ครั้นจำเลยลงจากบ้านผู้ตายได้เข้าไปต่อว่าจำเลยกรณีที่จำเลยด่านางบุญเฝ้า จากนั้นจำเลยกับผู้ตายเกิดทะเลาะโต้เถียงและชกต่อยกัน ขณะนั้นเองนายประมวลพี่ชายของจำเลยซึ่งกำลังซื้อบุหรี่อยู่เห็นเหตุการณ์จึงเข้าช่วยจำเลยชกต่อยผู้ตาย นายจ้วนได้เข้าช่วยผู้ตายโดยใช้กระบอกไฟฉายตีนายประมวล แต่นายประมวลแย่งไว้ได้และใช้กระบอกไฟฉายตีนายจ้วนล้มลง ทันใดนั้นเองนายพรหมมาน้องชายของจำเลยซึ่งอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัดทำให้ผู้ตายล้มลงจำเลยจึงใช้สากไม้ตำข้าวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้วฟุตยาวประมาณ 3 ศอก ตีศีรษะผู้ตาย 2 ที และนายพรมหมมาก็ยิงผู้ตายซ้ำอีก 2 นัด ผู้ตายจึงถึงแก่ความตาย เสร็จแล้วนายพรหมมาและนายประมวลได้หลบหนีไป
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้กรณีที่จำเลยชกต่อยกับผู้ตายนั้นเป็นเหตุซึ่งเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน จำเลยไม่คาดคิดมาก่อนหรือไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตายในขณะเริ่มชกต่อยกันก็ตาม แต่ปรากฎตามข้อเท็จจริงซึ่งได้ความว่าเมื่อนายพรหมมาน้องชายของจำเลยได้ช่วยจำเลยทำร้ายผู้ตายโดยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด จนล้มลงแล้วจำเลยมิได้หยุดยั้งการทำร้ายผู้ตายโดยได้ใช้สากไม้ตำข้าวขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้วฟุต ยาวประมาณ 3 ศอกซึ่งเป็นอาวุธที่อาจใช้ประทุษร้ายให้ถึงแก่ความตายได้ตีทำร้ายผู้ตายซ้ำอีก 2 ที ทั้งจำเลยตีทำร้ายที่ศีรษะของผู้ตายอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ย่อมแสดงเจตนาของจำเลยโดยชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้ตายให้ถึงแก่ความตาย ซึ่งบาดแผลที่ถูกตีตามรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ปรากฎว่ากะโหลกศีรษะของผู้ตายแตกเป็นหลายชิ้นทำให้สมองถูกทำลาย และนายแพทย์ชาญวิทย์ ศุภประสิทธิ์ผู้ตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ตายพยานโจทก์เบิกความให้ความเห็นว่าบาดแผลที่เกิดจากการตีที่ศรีษะผู้ตายหรือที่ถูกยิงนั้นสามารถทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า
สำหรับปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการร่วมกับพวกกระทำความผิดหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การร่วมกันกระทำความผิดนั้นไม่จำเป็นต้องมีเจตนาร่วมกันมาก่อนเกิดเหตุเสมอไป โดยอาจเกิดขึ้นในขณะที่เกิดเหตุนั้นเองก็ได้ ทั้งนี้แล้วแต่ข้อเท็จจริงแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น คดีนี้แม้ข้อเท็จจริงจะไม่ได้ความว่าจำเลยกับนายพรหมมาและพวกได้คบคิดกันเพื่อประทุษร้ายผู้ต้ายก่อนก็ตาม แต่การที่จำเลยเห็นผู้ตายถูกกระสุนปืนนัดแรกแต่ยังไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยก็ใช้สากไม้ตำข้าวตีทำร้ายผู้ตายซ้ำในทันที เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีความประสงค์ที่จะช่วยนายพรหมมาทำร้ายผู้ตายให้ถึงแก่ความตายจึงเป็นการร่วมกันกระทำความผิด ไม่ใช่เป็นกรณีที่ต่างคนต่างกระทำความผิดซึ่งจะมีความผิดเฉพาะตามผลแห่งการกระทำของตน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share