คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปซื้อสวน จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ไว้กับโจทก์โดยลงไว้ในสัญญาว่าเอาที่สวนนั้นเป็นประกัน จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินกู้โจทก์ทวงให้ชำระหรือมิฉะน้นก็ให้โอนที่สวนให้โจทก์ จำเลยบิดพลิ้ว แล้วโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมยกที่สวนนั้นให้จำเลยที่ 2 โจทก์จึงรู้สึกว่าจำเลยทั้งสองทำการสมยอมกันฉ้อโกงโจทก์ ขอให้ศาลสั่งขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ไว้แล้ว (จำเลยอ้างว่ามิได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 เป็นการฉ้อฉล ทำให้โจทก์เสียเปรียบ)
คำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้เงินต้นและดอกเบี้ย ถ้าไม่สามารถชำระเงิน ก็ให้จำเลยโอนที่สวนที่เอาเป็นประกันให้โจทก์ตามสัญญา โดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนหรือทำลายนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยทั้งสองเสีย ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน กับให้เพิกถอนนิติกรรมยกที่สวนให้ระหว่างจำเลยทั้งสองนั้น ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะคำขอท้ายฟ้องนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินก่อน เมื่อไม่สามารถชำระเงินแล้วจึงจะเพิกถอนนิติกรรมได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ไปซื้อสวน ต่อมาจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินโจทก์ไปอีกเพื่อใช้รักษาตัวจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้ไว้กับโจทก์เอาเงิน ๒ รายนั้นลงเป็นเงินกู้ และเอาที่สวนลงไว้เป็นประกัน จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้ โจทก์ทวงให้ชำระหรือไม่ก็ให้โอนที่สวนให้โจทก์ จำเลยก็บิดพลิ้ว โจทก์เพิ่งทราบในภายหลังว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำนิติกรรมยกที่สวนนั้นให้จำเลยที่ ๒ โจทก์จึงรู้สึกว่าจำเลยทำการสมยอมกันฉ้อโกงโจทก์ ขอให้บังคับให้จำเลยร่วมกันใช้เงินต้นและดอกเบี้ย ถ้าจำเลยไม่สามารถชำระเงิน ก็ให้จำเลยจัดการโอนสวนให้โจทก์ โดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนหรือทำลายนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยนั้นเสีย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินต้นและดอกเบี้ย กับให้เพิกถอนนิติกรรมยกที่ให้ระหว่างจำเลย
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ๑. ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวใช้เงินให้โจทก์ พิพากษาแล้วยังไม่มีคำบังคับให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตาม ยังรู้ไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ จะสามารถปฏิบัติตามหรือไม่ สิทธิที่จะขอให้บังคับให้เพิกถอนนิติกรรมจึงยังไม่เกิดขึ้น และคำขอในข้อนี้โจทก์ต้องการให้บังคับจำเลยให้โอนที่ดินให้โจทก์ไม่ใช่ประสงค์ให้เพิกถอนนิติกรรมอย่างเดียว ที่ศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมนั้น เรียกได้ว่าเกินคำขอ ๒. โจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้แจ้งชัดว่า การโอนระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ นั้น เป็นการฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียเปรียบ แม้จะมีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรม ศาลก็บังคับให้ไม่ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อ ๑ ว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้และร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินให้จำเลยที่ ๒ โดยสมยอมกันฉ้อโกงโจทก์ มาพร้อมกัน โดยอาศัยสิทธิของโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ คำขอท้ายฟ้องจึงมีหลายข้อเรียงลำดับกันไป ย่อมแปลได้ว่าโจทก์ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดพิพากษาคดีให้เสร็จไปในคราวเดียวกัน คำขอของโจทก์ไม่หมายความว่าจะต้องบังคับคดีให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินก่อน ไม่สามารถชำระแล้วจึงจะเพิกถอนนิติกรรมได้ เพราะโจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนอยู่พร้อมแล้ว
วินิจฉัยปัญหาข้อ ๒ ว่า ฟ้องได้บรรยายเหตุที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาข้อให้ถอนนิติกรรมไว้ว่า โจทก์ทวงเตือนจำเลยให้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยหรือจัดการโอนที่สวนที่เป็นประกันให้ จำเลยบิดพลิ้วโจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมยกที่สวนดังกล่าวให้จำเลยที่ ๒ โจทก์จึงรู้สึกว่าจำเลยทำการสมยอมกันฉ้อโกงโจทก์ แล้วมีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมฉบับนี้ เป็นการตั้งประเด็นขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ แล้ว
พิพากษายืน

Share