คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2440/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์หรือไม่ เมื่อไม่มีประเด็นในศาลชั้นต้นว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐหรือไม่ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐหรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยบุกรุกนำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถ ที่ดินพิพาททำให้ต้นมะม่วงหิมพานต์ ที่โจทก์ปลูกไว้เสียหายจากนั้นจำเลยกับพวกเผาทำลายต้นมะม่วงหิมพานต์ ดังกล่าวแล้วนำต้นปาล์มเข้าปลูกไว้แทน ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องหรือรบกวนการครอบครองที่ดิน ให้จำเลยรื้อถอนต้นปาล์มออกจากที่ดินพิพาท กับให้ชดใช้ค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนต้นปาล์มออกไป เป็นการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ต่อเนื่องกันมาจนถึงวันฟ้องฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ คดีนี้จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาจากผู้มีชื่อ จำเลยไม่ได้อ้างว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ จึงไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามมาตรา 1375 จึงไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ และให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นข้อพิพาทแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของครอบครองที่ดินตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เนื้อที่50 ไร่ ซึ่งโจทก์ครอบครองโดยสงบ เปิดเผยและเจตนายึดถือเพื่อตนโจทก์เสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาตั้งแต่ปี 2527 จนถึงปัจจุบันระหว่างกลางเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน 2534 จำเลยกับพวกร่วมกันบุกรุกที่ดินของโจทก์ โดยจำเลยนำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถที่ดินของโจทก์ทำให้ต้นมะม่วงหิมพานต์ ที่โจทก์ปลูกไว้เสียหาย1,000 ต้น คิดค่าเสียหายต้นละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 500,000 บาทจากนั้นจำเลยกับพวกเผาทำลายต้นมะม่วงหิมพานต์ ดังกล่าวแล้วนำต้นปาล์มเข้าปลูกไว้แทน โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 268/2535 และแจ้งให้จำเลยออกจากที่ดินแต่จนบัดนี้จำเลยก็ยังเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่อาจใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โจทก์ขอคิดค่าขาดประโยชน์เดือนละ 30,000 บาท ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามฟ้องเนื้อที่ 50 ไร่ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องหรือรบกวนการครอบครองที่ดินและให้จำเลยรื้อถอนต้นปาล์มออกจากที่ดินกับให้ชดใช้ค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 30,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนต้นปาล์มออกไปและชดใช้ค่าเสียหาย 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อต้นปี 2532 จำเลยซื้อที่ดินตามฟ้องนายวิธี เรียบคง และนายพินิจ สังฆะพรร รวมเนื้อที่50 ไร่เศษ ในสภาพเป็นสวนมะม่วงหิมพานต์ ต่อมาปลายปี 2532พายุไต้ฝุ่นเกย์พัดผ่านที่ดินพิพาททำให้ต้นมะม่วงหิมพานต์ล้มจำเลยจึงไถซากต้นไม้ออกไปและปลูกต้นปาล์มน้ำมันเต็มเนื้อที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทมาเป็นเวลา 6 ปีเศษ ที่โจทก์อ้างว่าได้ที่ดินพิพาทโดยการซื้อและขอเปิดป่าเข้าจับจองที่ดินพิพาทเป็นการแสดงคำขอเปิดป่าอันเป็นเท็จ และเอกสารการขอจับจองที่ดินไม่ก่อให้เกิดสิทธิในที่ดินเมื่อโจทก์ยังไม่ได้ใบจองตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 33 โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทและโจทก์ไม่ใช่เจ้าของต้นมะม่วงหิมพานต์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์ในการใช้ที่ดินกับค่าเสียหายของต้นมะม่วงหิมพานต์โจทก์รู้ตัวจำเลยและรู้ถึงการกระทำของจำเลยแต่โจทก์มิได้ฟ้องภายใน 1 ปี สิทธินำคดีมาฟ้องในมูลละเมิดระงับ และโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีปลดเปลื้องการถูกรบกวนการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีอาญาว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ชัดว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงอ้างสิทธิครอบครองมาเป็นมูลฟ้องจำเลยในคดีนี้อีกไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาก่อนเริ่มต้นสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของรัฐหรือไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือไม่เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จากคำฟ้องของโจทก์และคำให้การจำเลยดังกล่าว ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์หรือไม่ ซึ่งประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวตรงกับข้ออ้างของโจทก์และข้อเถียงของจำเลยแล้ว ไม่มีประเด็นในศาลชั้นต้นว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐหรือไม่ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐหรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวของโจทก์ชอบแล้ว
ที่โจทก์ฎีกาประการที่สองว่า ประเด็นที่ว่าจำเลยบุกรุกไถต้นมะม่วงหิมพานต์ของโจทก์อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ยังไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ข้อ 2 บรรยายว่าเมื่อประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน 2534 จำเลยบุกรุกนำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถที่ดินพิพาททำให้ต้นมะม่วงหิมพานต์ที่โจทก์ปลูกไว้เสียหาย จากนั้นจำเลยกับพวกเผาทำลายต้นมะม่วงหิมพานต์ดังกล่าวแล้วนำต้นปาล์มเข้าปลูกไว้แทน ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องหรือรบกวนการครอบครองที่ดินให้จำเลยรื้อถอนต้นปาล์มออกจากที่ดินพิพาท กับให้ชดใช้ค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนต้นปาล์มออกไป เห็นได้ว่าตามฟ้องโจทก์ โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ต่อเนื่องกันมาจนถึงวันฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คดีนี้จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายวิธี เรียบคง และนายพินิจ สังฆะพรร ไม่ได้อ้างว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์จึงไม่มีประเด็นเรื่องการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองโจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375จึงไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share