แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าของเดิมเขาบุกเบิกแผ้วถางป่าปลูกพืชผลมา 7-8 ปีแล้วโดยมิชอบด้วยกฎหมายที่ดิน เพราะเขาบุกเบิกโดยพลการมิได้ขออนุญาตจากเจ้าพนักงานและเมื่อประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ก็มิได้แจ้งการครอบครอง แม้ต่อมาจะมีผู้อื่นซื้อที่ดินนี้จากเจ้าของเดิมก็ยังต้องถือว่าที่ดินนี้คงมีสภาพเป็นป่าอยู่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 4
พนักงานป่าไม้ปฏิบัติตามคำสั่งของป่าไม้เขตเข้าจับกุมผู้ไถพรวนดินและสุมเผากิ่งไม้อยู่ในเขตที่มีผู้แจ้งว่ามีการบุกรุกแผ้วถางป่าหาว่ากระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้เมื่อไม่ปรากฏว่าเป็นการแกล้งจับหรือแจ้งข้อหาเท็จทั้งที่ดินนั้นก็ยังถือว่ามีสภาพเป็นป่าอยู่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ดังนี้จะหาว่าพนักงานป่าไม้นั้นกระทำผิดตามมาตรา 157,172,173 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1, 2, 3 หน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ และแจ้งข้อหาต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทำลายป่า บุกเบิกป่าสงวนและอื่น ๆ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ อันเป็นความเท็จขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 209, 137, 172,173 และ 83
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เป็นพนักงานป่าไม้ มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้ จำเลยที่ 2, 3 เป็นทหารอากาศประจำการ จำเลยทั้งสามปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าตรงที่เกิดเหตุไม่ใช่ป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯและวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดตามฟ้องจำเลยที่ 2 และ 3 ยังฟังไม่ได้ว่าได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157, 309, 137, 172, 173 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 157ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 มีกำหนด 1 ปี ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2, 3 ปล่อยจำเลยทั้งสองให้พ้นข้อหาไป
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้อง และลงโทษจำเลยที่ 1 สถานหนักด้วย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงเท่าที่ได้ความไม่ชัดพอที่จะชี้ขาดว่าตรงที่เกิดเหตุเป็นที่ป่าหรือที่ไร่ และพยานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยแกล้งจับโจทก์หรือแจ้งข้อหาเท็จดังฟ้อง พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ด้วยนอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ซื้อที่ดินที่เกิดเหตุมาจากผู้เริ่มบุกเบิกเดิม ซึ่งบุกเบิกโดยพลการมา 7-8 ปีแล้ว โดยมิได้ขออนุญาตจากเจ้าพนักงาน จึงเป็นการที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายที่ดิน กับทั้งเมื่อประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินเมื่อปี พ.ศ. 2497 ก็มิได้แจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค.1 เมื่อโจทก์มีพยานหลักฐานเกี่ยวกับที่เกิดเหตุมาแสดงเพียงเท่าที่กล่าวมา จึงต้องถือว่าที่เกิดเหตุรายนี้ยังคงมีสภาพเป็นป่าอยู่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4 และในการที่จำเลยที่ 1 จับกุมโจทก์หาว่ากระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ นี้ ก็ได้ความว่าปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ โดยปฏิบัติตามคำสั่งของป่าไม้เขต และไม่มีเหตุที่จะฟังว่าจำเลยแกล้งจับโจทก์แต่อย่างไร ทั้งเวลาที่จำเลยที่ 1 จับ โจทก์ทั้งสองก็รับว่าได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ จริง และได้ลงชื่อไว้ในบันทึกการจับกุมด้วย ส่วนข้อที่ว่าจำเลยข่มขืนใจให้โจทก์ลงชื่อในบันทึกการจับกุมนั้นก็ไม่น่าเชื่อคดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดดังฟ้อง พิพากษายืน