แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ที่ศาลล่างทั้งสองจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับในความผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในเขตอุทยานแห่งชาติตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติฯ นั้น ไม่ถูกต้อง เนื่องจาก พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติฯ ไม่ได้ให้อำนาจศาลที่จะสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับได้ดังเช่น พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4, 29, 29 ทวิ, 71 ทวิ, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 4, 16, 24, 27 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 ริบของกลางและจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2509 (ที่ถูก พ.ศ.2504) มาตรา 16 (2) (13), 24, 27 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 29, 29 ทวิ (ที่ถูกมาตรา 29 วรรคหนึ่ง, 29 ทวิ วรรคหนึ่ง), 71 ทวิ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในเขตอุทยานแห่งชาติ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติฯ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งของป่าหวงห้ามเกินปริมาณที่กำหนด จำคุก 6 เดือนและปรับ 4,000 บาท รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 14,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือนและปรับ 7,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกมีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ในกำหนด 1 ปี ให้จำเลยทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ 24 ชั่วโมง (ที่ถูก ให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง และให้จำเลยจ่ายเงินสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับตามกฎหมาย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในเขตอุทยานแห่งชาติไม่รอการลงโทษ ไม่ลงโทษปรับ และไม่คุมความประพฤติ ในเรื่องเงินสินบนนำจับให้จ่ายจากค่าปรับโดยจำเลยไม่ต้องเป็นผู้จ่ายนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกในความผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในเขตอุทยานแห่งชาตินั้น เห็นว่า คดีนี้ชิ้นไม้กฤษณาและกฤษณาของกลางมีจำนวน 10 กิโลกรัม ซึ่งเป็นจำนวนเพียงเล็กน้อย พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่ร้ายแรงนัก ประกอบกับจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ยังอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขฟื้นฟูให้จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ ทั้งโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็เป็นเพียงโทษจำคุกระยะสั้น การรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติจำเลยไว้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจ่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมโดยส่วนรวมมากกว่า ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับในความผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในเขตอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 นั้น ไม่ถูกต้อง เนื่องจากพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ไม่ได้ให้อำนาจศาลที่จะสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับได้ดังเช่นพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่เงินสินบนนำจับให้จ่ายกึ่งหนึ่งของเงินค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยจ่ายจากเงินค่าปรับที่จำเลยชำระเงินต่อศาลเฉพาะความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งของป่าหวงห้ามเกินปริมาณที่กำหนดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484