แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยอุทธรณ์แต่เพียงว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นข้อสำคัญในคดี ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าข้อความดังกล่าวเป็นเท็จหรือไม่ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาแล้ววินิจฉัยในทำนองว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นเท็จหรือไม่ จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้อุทธรณ์ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 ความในข้อนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงยกขึ้นอ้างได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติในเบื้องต้นว่า คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 199/2553 หมายเลขแดงที่ 119/2554 ของศาลแขวงราชบุรี ศาลได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงบังคับคดี ต่อมานายธงชัย บิดาจำเลยยื่นคำร้องว่าตนมิใช่บริวารจำเลยแต่เป็นเจ้าของผู้ทำการก่อสร้างบ้านบนที่ดินของโจทก์ และวันที่ 15 ตุลาคม 2555 เวลากลางวัน จำเลยเบิกความเป็นพยานให้นายธงชัยในคดีดังกล่าวว่า “โจทก์อนุญาตให้บิดาของข้าฯ เข้ามาปลูกบ้านในที่ดินดังกล่าว เหตุที่โจทก์อนุญาตให้บิดาของข้าฯเป็นผู้เข้ามาปลูกบ้านในที่ดินโจทก์ เนื่องจากขณะนั้นข้าฯและนายอนุชาไม่ได้ประกอบอาชีพและไม่มีรายได้ บิดาข้าฯจึงเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น” ตามคำให้การพยาน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในข้อแรกว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 119/2554 ของศาลแขวงราชบุรี เป็นเท็จหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยอุทธรณ์แต่เพียงว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นข้อสำคัญในคดี ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าข้อความดังกล่าวเป็นเท็จหรือไม่ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาแล้ววินิจฉัยในทำนองว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นเท็จหรือไม่ จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้อุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 ความในข้อนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงยกขึ้นอ้างได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นที่ยุติว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความไว้ในคดีแพ่งดังกล่าวเป็นเท็จ โดยไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์อีก
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในข้อสุดท้ายว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งดังกล่าว โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ นายธงชัยยื่นคำร้องว่า ตนไม่ใช่บริวารจำเลยแต่เป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินโจทก์ ประเด็นสำคัญแห่งคดีจึงอยู่ที่ว่า นายธงชัยเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ โดยการที่จะวินิจฉัยได้ว่านายธงชัยเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยหรือนายธงชัยเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้าง ดังนั้น ข้อสำคัญในคดีจึงอยู่ที่ว่า นายธงชัยเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างหรือไม่ การที่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในคดีแพ่งดังกล่าวว่านายธงชัยเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้าง จึงเป็นการเบิกความเป็นเท็จในข้อสำคัญแห่งคดี แม้ศาลจะไม่เชื่อคำเบิกความของจำเลยโดยวินิจฉัยว่า นายธงชัยไม่ใช่เจ้าของสิ่งปลูกสร้างโดยนายธงชัยเป็นเพียงบริวารของจำเลยก็ไม่ทำให้คำเบิกความของจำเลยในส่วนนี้ไม่เป็นข้อสำคัญในคดี ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 1 ปี