แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อสัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่สมบูรณ์แล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันด้วย แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ฎีกาด้วยก็ตามเพราะเป็นคำพิพากษาเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินโจทก์ไป ๘๐,๐๐๐ บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๒๗ จำเลยที่ ๑ ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ยึดถือไว้ จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกัน เมื่อถึงกำหนดชำระ จำเลยทั้งสองเพิกเฉย จำเลยทั้งสองค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยนับแต่วันกู้ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๐๕,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน๑๐๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน๘๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยกู้เงินโจทก์ ไม่เคยลงลายมือชื่อในสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้อง สัญญากู้ดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ ๒ กู้เงินโจทก์ ๔๐,๐๐๐ บาท และมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งยืมมาจากจำเลยที่ ๑ ให้โจทก์ยึดถือไว้ จำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันในแบบพิมพ์สัญญาค้ำประกันยังไม่ได้กรอกข้อความ แต่ไม่ใช่ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ ๔๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑๐๕,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ชำระหนี้ทั้งหมดดังกล่าวแทนจนครบ
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้กู้เงินและลงลายมือชื่อในสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อสัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไม่สมบูรณ์แล้ว จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันด้วย แม้จำเลยที่ ๒ จะไม่ได้ฎีกาด้วยก็ตามเพราะเป็นคำพิพากษาเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามฟ้องให้โจทก์นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น