แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและเป็นผู้ครอบครองที่ดิน จำเลยไม่ยอมโอนใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ถึงแม้ว่าการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยจะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันทำให้สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะก็ตาม แต่ขณะทำสัญญาซื้อขายที่ดินยังไม่มีเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ มีเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เมื่อจำเลยส่งมอบการครอบครอง โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยโต้แย้งสิทธิ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
กำหนดเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง เป็นระยะเวลาให้สิทธิฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินมือเปล่า ไม่ใช่เรื่องอายุความ คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินส่วนของโจทก์ โดยโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน คดีจึงไม่มีประเด็นปัญหาการแย่งการครอบครองอันจะต้องใช้สิทธิฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีได้แม้จะเกิน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยขอออกโฉนดที่ดิน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและห้ามจำเลยเกี่ยวข้องอีกต่อไป ขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดที่ดินพิพาทแล้วให้ใส่ชื่อโจทก์แทน โดยให้จำเลยไปยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายเอง หากไม่ปฏิบัติตามโจทก์ขอถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนจากชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินพิพาท โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โดยได้รับยกเว้นค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน ๓๕,๐๐๐ บาท
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยได้รับยกเว้นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจำนวน ๓๕,๐๐๐ บาท
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โจทก์อ้างว่าจำเลยได้ขายที่ดินให้สองครั้งเนื้อที่รวม ๑๐ ไร่ คือ บริเวณที่แรเงาไว้ในโฉนดที่ดิน ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงโจทก์นำสืบว่าเดิมที่ดินเป็นของบิดายกให้จำเลยมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ปี ๒๕๒๙ จำเลยขายที่ดินบางส่วนจำนวน ๘ ไร่ ปี ๒๕๓๓ จำเลยขายให้อีก ๒ ไร่ การซื้อขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพียงแต่ส่งมอบการครอบครอง โจทก์เข้าครองครองทำประโยชน์ตลอดมา ปี ๒๕๓๗ จำเลยนำที่ดินไปขอออกโฉนดทั้งแปลง โดยมีข้อตกลงว่าเมื่อออกโฉนดแล้วจะโอนที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ให้ ต่อมาจำเลยเพิกเฉยและปฏิเสธ เห็นว่า โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและเป็นผู้ครอบครองที่ดิน จำเลยไม่ยอมโอนใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๕๕ ถึงแม้ว่าการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยจะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันทำให้สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะก็ตาม แต่ขณะทำสัญญาซื้อขายที่ดินยังไม่มีเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ มีเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เมื่อจำเลยส่งมอบการครอบครอง โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยโต้แย้งสิทธิ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ขาดสิทธิเอาคืนซึ่งการครอบครองหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะไม่ได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน ๑ ปี นั้น เห็นว่า กำหนดเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๗๕ วรรคสอง เป็นระยะเวลาให้สิทธิฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินมือเปล่า ไม่ใช่เรื่องอายุความ คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินส่วนของโจทก์ โดยโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน คดีจึงไม่มีประเด็นปัญหาการแย่งการครอบครองอันจะต้องใช้สิทธิฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน ๑ ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีได้แม้จะเกิน ๑ ปี นับแต่วันที่จำเลยขอออกโฉนดที่ดิน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.