แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์โดยตกลงชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันกู้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระต้นเงินให้แก่โจทก์แล้วเสร็จ โดยผ่อนชำระคืนเป็นรายวันการที่จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/33(2) เนื่องจากนำคดีมาฟ้องเกินกว่า 5 ปี นับจากมีสิทธิเรียกร้อง ซึ่งตามมาตรา 193/33(2) บัญญัติอายุความการใช้สิทธิเรียกร้องไว้เพียงกรณีเดียวเฉพาะเงินที่ต้องชำระเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ เช่นนี้ ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยดังกล่าวได้แสดงโดยชัดแจ้งแล้วว่า สิทธิเรียกร้องตามหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องขาดอายุความเมื่อใดและเพราะเหตุใด คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าคดีขาดอายุความหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ 3 ครั้ง เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2539วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2539 และวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 จำนวนเงิน 15,000 บาท และ14,000 บาท ตามลำดับ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่กู้ยืมเงินไปจำเลยไม่เคยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เลยดอกเบี้ยนับแต่วันกู้ยืมถึงวันฟ้องสำหรับกู้ครั้งแรกเป็นเงินจำนวน 12,118.75 บาท ครั้งที่ 2 เป็นเงินจำนวน 12,093.75บาท และครั้งที่ 3 เป็นเงินจำนวน 10,675 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน78,887.50 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 44,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์สองครั้งแรกเพียงครั้งละ 10,000 บาท ส่วนที่เกินเป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดบวกเข้าไป ส่วนสัญญากู้ฉบับที่สามเป็นต้นเงินเพียง 8,000 บาท อีก 6,000 บาท เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดที่โจทก์บวกเข้าไป เป็นต้นเงิน จำเลยได้ผ่อนชำระเงินตามสัญญากู้ทั้งสามฉบับให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยค้างชำระเกินกว่า 5 ปีฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(2)เนื่องจากนำคดีมาฟ้องเกิน 5 ปี นับจากมีสิทธิเรียกร้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 44,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 3 กรกฎาคม 2544) ย้อนหลังไป 5 ปี และถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 500 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่อุทธรณ์ว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความ5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(2) เป็นการไม่ชอบ เนื่องจากคำให้การของจำเลยไม่ได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในส่วนที่เป็นต้นเงินขาดอายุความเมื่อใด เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์โดยตกลงชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันกู้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระต้นเงินให้แก่โจทก์แล้วเสร็จ ซึ่งปรากฏตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ถึง 4 กำหนดให้จำเลยผ่อนชำระคืนเป็นรายวัน การที่จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(2) เนื่องจากนำคดีมาฟ้องเกินกว่า 5 ปี นับจากมีสิทธิเรียกร้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(2) บัญญัติอายุความการใช้สิทธิเรียกร้องไว้เพียงกรณีเดียวเฉพาะเงินที่ต้องชำระเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ เช่นนี้ ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยดังกล่าวได้แสดงโดยชัดแจ้งแล้วว่า สิทธิเรียกร้องตามหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องขาดอายุความเมื่อใดและเพราะเหตุใด ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาเรื่องอายุความตามคำให้การของจำเลย จึงชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ”