คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4209/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้คัดค้านกับผู้ตายอยู่กินเป็นสามีภริยาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ได้ร่วมกันทำมาหากินจนมีทรัพย์สินต่าง ๆ บุคคลทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ผู้คัดค้านจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินเหล่านั้น ดังนี้สมควรที่จะตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมด้วย.

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นพี่ร่วมบิดากับนางสาวสำเนียง สามิภักดิ์ โดยไม่ได้ทำพินัยกรรมและตั้งผู้จัดการมรดกไว้การจัดการมรดกมีเหตุขัดข้อง ผู้ร้องไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามกฎหมายขอให้มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นสามีไม่จดทะเบียนสมรสของผู้ตายมาประมาณ 16 ปี ไม่มีบุตรด้วยกันมีทรัพย์สินร่วมกัน ผู้ร้องไม่เหมาะสมและไม่มีความสามารถที่จะเป็นผู้จัดการมรดก ขอให้ยกคำร้องและมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง และตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวสำเนียง สามิภักดิ์ ผู้ตาย
ผู้ร้องฎีกาขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นพี่สาวร่วมบิดาแต่ต่างมารดากับผู้ตาย ผู้ตายไม่มีผู้สืบสันดาน บิดามารดาของผู้ตายถึงแก่ความตายไปแล้ว ผู้คัดค้านเป็นสามีของผู้ตายอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎฆมาย ก่อนมาอยู่กินกันฉันสามีภริยากับผู้ตาย ผู้คัดค้านมีภริยาแล้วชื่อนางวิสิทธิ์โดยได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันเมื่อ พ.ศ. 2500 ขณะนี้ก็ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่ากันตามกฎหมาย
พิเคราะห์แล้ว ที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้คัดค้านไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องนั้น ผู้ร้องให้เหตุผลว่า ผู้คัดค้านมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว ในปัจจุบันยังไม่ได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน ไม่ว่าผู้คัดค้านจะมีพฤติการณ์เช่นไร ผู้คัดค้านกับผู้ตายก็ไม่อาจมีสถานภาพเป็นสามีภริยากันได้ ผู้คัดค้านเป็นเพียงชายชู้ของผู้ตายเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่หญิงกับชายอยู่กินร่วมกันและประพฤติปฏิบัติต่อกันฉันสามีและภริยา แม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายหญิงชายคู่นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีภริยากันโดยทางพฤตินัย เป็นแต่เพียงกฎหมายยังไม่รับรองว่าเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วเท่านั้น ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านกับผู้ตายอยู่กินกันฉันสามีภริยาเป็นเวลานานประมาณ 16 ปี ก็ถือได้ว่าผู้คัดค้านกับผู้ตายเป็นสามีภริยากันแล้ว ผู้ร้องนำสืบโดยผู้ร้องกับพยานผู้ร้องมาเบิกความลอย ๆ ว่า ผู้ตายไม่มีสามีทรัพย์สินต่าง ๆที่ผู้ตายมีอยู่ ผู้ตายเป็นผู้ซื้อหามาเองเพียงลำพัง โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุน แต่ฝ่ายผู้คัดค้านเบิกความว่าผู้คัดค้านเป็นสามีของผู้ตายอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยามานานประมาณ 16 ปีแล้วระหว่างนั้นได้ร่วมกันซื้อหาทรัพย์สินมาเก็บไว้บ้าง และซื้อที่ดินพร้อมอาคารชุดราชเทวีทาวเวอร์ นอกจากนี้ผู้คัดค้านกับผู้ตายยังได้เปิดบัญชีเงินฝากไว้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาบางกะปิซึ่งบัญชีดังกล่าวผู้คัดค้านและผู้ตายมีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีร่วมกันข้อเท็จจริงดังกล่าวผู้ร้องก็ไม่ได้โต้แย้งหรือนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์หักล้างว่าไม่เป็นความจริง ข้อนำสืบของผู้คัดค้านดังกล่าวเมื่อพิจารณาประกอบกับการที่ผู้คัดค้านกับผู้ตายเป็นสามีภริยากันและอยู่กินกันฉันสามีภริยาเป็นเวลานานถึง 16 ปีแล้วมีเหตุผลให้น่าเชื่อว่าผู้คัดค้านกับผู้ตายร่วมกันทำมาหากินจนมีทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเป็นคดีนี้และทรัพย์สินดังกล่าวต้องถือว่าผู้คัดค้านกับผู้ตายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน จึงถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมนั้นชอบด้วยเหตุผลแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share