แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นที่สาธารณประโยชน์มาแต่เดิม แต่กรณีเป็นเรื่องที่ ท. ผู้ใหญ่บ้านกับคณะกรรมการหมู่บ้านต้องการจะให้เป็นที่สาธารณะเมื่อปี 2525 และทางราชการยังไม่ได้มีการสอบเขตที่แน่นอน หลังจาก ท. ได้ประกาศให้เป็นที่ดินสาธารณะแล้ว ก็ถูกส.คัดค้านแม้จะมีการไกล่เกลี่ยกันส. ก็ไม่ยินยอมและไม่ปรากฏว่า ส. ออกจากที่ดินพิพาทตามคำสั่งของอำเภอแต่อย่างใดต่อมาเมื่อมีการสร้างวัดในที่ดินพิพาทอีก ภริยาจำเลยซึ่งเป็นบุตรส.ทำการคัดค้านจนไม่สามารถสร้างวัดได้ ดังนี้เห็นได้ว่านับแต่ท.ได้ประกาศจะให้ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะฝ่ายจำเลยก็ได้ทำการคัดค้านมาโดยตลอด และยังไม่ได้มีการดำเนินคดีทางแพ่งพิสูจน์สิทธิในที่ดินพิพาทกันให้เสร็จเด็ดขาดแต่อย่างใด เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินพิพาทฟังไม่ได้ว่าเป็นที่สาธารณะการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9,108 ทวิ วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างปลายปี 2535 ถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2536ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกันตลอดมา จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ของหมู่บ้านเหมืองทองซึ่งเป็นที่ดินของรัฐและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โดยเข้าไปไถที่ดินปลูกไม้ยืนต้นเป็นเนื้อที่ประมาณ3 ไร่เศษ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108, 108 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 กับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง ให้จำคุก 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือนให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองตามฟ้อง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในหมู่บ้านเหมืองทองซึ่งตั้งขึ้นเป็นหมู่บ้านเมื่อปี 2525โดยมีนายทองพูล ตุพล ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกหลังจากนั้นนายทองพูนได้ประกาศให้ชาวบ้านทราบว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะ และอ้างว่าได้มีการแจ้งขึ้นทะเบียนต่ออำเภอตามทะเบียนที่ดินสาธารณประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ศาลฎีกาได้พิจารณาเอกสารหมาย จ.1 แล้ว ปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวมีแต่รายการที่ดิน ไม่มีลายมือชื่อเจ้าพนักงานที่ดินในช่องที่ต้องลงชื่อรับรองสภาพและประวัติความเป็นมาของที่ดินพิพาทก็ไม่ปรากฏและเมื่อทางอำเภอปากชมได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนข้อเท็จจริง ก็ปรากฏผลการสอบสวนของคณะกรรมการตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 2.2 ว่าที่ดินพิพาทยังไม่มีการขึ้นทะเบียนที่หลวง และยังไม่มีหนังสือสำคัญที่หลวงรับรองหรือยืนยันอาณาเขตที่แน่นอนไว้ เพียงแต่คณะกรรมการหมู่บ้านแจ้งความประสงค์จะกันเป็นที่สาธารณะประจำหมู่บ้าน แสดงให้เห็นว่า ที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นที่สาธารณประโยชน์มาแต่เดิม กรณีเป็นเรื่องที่นายทองพูลผู้ใหญ่บ้านกับคณะกรรมการหมู่บ้านต้องการจะให้เป็นที่สาธารณะเมื่อปี 2525 เท่านั้น ทางราชการยังไม่ได้มีการสอบเขตที่แน่นอนนอกจากนั้นข้อเท็จจริงยังได้ความตรงกันจากการนำสืบของโจทก์และจำเลยด้วยว่า หลังจากนายทองพูลได้ประกาศให้เป็นที่ดินสาธารณะแล้วก็ถูกนายสอน จันทะคำหอม แม้จะมีการไกล่เกลี่ยกันนางสอนก็ไม่ยินยอมและไม่ปรากฏว่านายสอนออกจากที่ดินพิพาทตามคำสั่งของอำเภอแต่อย่างใด ต่อมามีการสร้างวัดในที่ดินพิพาทอีกก็ปรากฏว่าภริยาจำเลยซึ่งเป็นบุตรนายสอนทำการคัดค้านจนไม่สามารถสร้างวัดได้จนปัจจุบัน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่า นับแต่นายทองพูลได้ประกาศจะให้ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะ ฝ่ายจำเลยก็ได้ทำการคัดค้านมาโดยตลอด และยังไม่ได้มีการดำเนินคดีทางแพ่งพิสูจน์สิทธิในที่ดินพิพาทกันให้เสร็จเด็ดขาดแต่อย่างใด เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินพิพาทฟังไม่ได้ว่าเป็นที่สาธารณะดังกล่าวข้างต้นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว
พิพากษายืน