คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาตั้งแต่เวลาที่ทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 เจ้าหนี้หาจำต้องเตือนหรือทวงถามก่อนฟ้องไม่
เจ้าของรถที่ถูกชนอื่นชนเสียหายโดยละเมิด ย่อมเป็นเจ้าหนี้และชอบที่จะฟ้องผู้ขับรถอื่นที่ทำละเมิดและนายจ้างของผู้ทำละเมิดนั้นได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องทวงถามให้ใช้ค่าเสียหายก่อน ผู้รับประกันภัยรถที่ถูกชนซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าของรถนั้นไปแล้ว ก็ชอบที่จะเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยผู้เป็นเจ้าหนี้ได้ และชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นในนามของตนเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 และ 880 ดังนั้น ผู้รับประกันภัยจึงฟ้องนายจ้างของผู้ทำละเมิดได้โดยหาจำต้องบอกกล่าวหรือทวงถามเสียก่อนไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดดำเนินกิจการรับประกันภัย รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ก.ท.พ.๓๐๘๔ ของบริษัทอุตสาหกรรมผ้าห่มไทย จำกัด เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ ทุนประกันภัย ๑๕๐,๐๐๐ บาท ขณะเกิดเหตุสัญญาประกันภัยยังมีผลใช้บังคับอยู่ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๑๔ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ข.ม.๐๒๗๐๕ ของจำเลยที่ ๒ ไปในทางการที่จ้างโดยประมาทด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เป็นเหตุให้รถยนต์หมายเลขทะเบียน ช.ม.๐๒๗๐๕ พุ่งเข้าชนบังโคลนขวารถบรรทุกหมายเลขทะเบียน ก.ท.พ. ๓๐๘๔ โดยแรงพลิกตะแคงไป ได้รับความเสียหายมาก โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถคันนี้ไว้จึงมีหน้าที่ซ่อมรถดังกล่าวให้อยู่ในสภาพดีดังเดิม แต่ปรากฏว่ารถเสียหายมาก ไม่สามารถจะซ่อมได้ดีดังเดิมได้และต้องเสียค่าซ่อมสูงมาก โจทก์ได้จ่ายค่าเสียหายให้ผู้เอาประกันภัยไปเต็มตามทุนประกัน ๑๕๐,๐๐๐ บาท แล้วเอาซากรถไปขายได้เงิน ๘๕,๐๐๐ บาท แต่ผู้เอาประกันภัยต้องออกค่าเสียหายเอง ๑,๐๐๐ บาท โจทก์เสียค่าลากรถไป ๑,๒๐๐ บาท รวมค่าเสียหายที่โจทก์ต้องเสียไปทั้งหมด ๖๕,๒๐๐ บาท โจทก์ได้จ่ายเงินไปแล้ว โจทก์จึงเข้ารับช่วงสิทธิผู้เอาประกันภัย และได้ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน ๖๕,๒๐๐ บาทแก่โจทก์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ต่อมาโจทก์ยื่นคำบอกกล่าวขอถอนคำฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑ ศาลอนุญาต
จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธความรับผิดหลายข้อและว่าโจทก์จะมีอำนาจฟ้องโดยสิทธิอย่างใดหรือไม่ จำเลยที่ ๒ ไม่รับรอง จำเลยที่ ๒ สืบได้ความว่ารถดังกล่าวชนกันเพราะแย่งกันเข้าสี่แยกอย่างเร็วแซงรถคันอื่น ต่างเสียหายฝ่ายละเล็กน้อย คนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าถ้าจะซ่อมก็ไม่เกินคันละ ๒,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหาย ๔๐,๒๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ในปัญหาที่ว่าโจทก์ไม่ได้ทวงถามให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ก่อน โจทก์จะมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาตั้งแต่เวลาที่ทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๐๖ เจ้าหนี้หาจำต้องเตือนหรือทวงถามก่อนฟ้องไม่ เจ้าของรถที่ผู้ถูกทำละเมิด ย่อมเป็นเจ้าหนี้และชอบที่จะฟ้องผู้ขับรถอื่นที่ทำละเมิดนั้นและเจ้าของรถผู้เป็นนายจ้างของผู้ทำละเมิดนั้นได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องทวงถามให้ใช้เสียหายก่อน ผู้รับประกันภัยรถที่ซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว ชอบที่จะเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยผู้เป็นเจ้าหนี้ได้ และชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นในนามของตนเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๖ และ ๘๘๐ กรณีนี้โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๒ ได้เลย หาจำต้องบอกกล่าวหรือทวงถามเสียก่อนไม่
พิพากษายืน

Share