คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 846/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อที่ว่าบริษัทโจทก์จดทะเบียนโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว บุคคลทั้งหลายย่อมรู้นั้น จะผูกพันบุคคลทั่วไปเฉพาะนิติกรรมสัญญาเท่านั้น ไม่มีผลถึงเรื่องละเมิด
ผ. มิได้เป็นกรรมการบริษัทโจทก์ ได้ขอเปิดบัญชีเงินฝากในนามบริษัทโจทก์ไว้กับธนาคารจำเลย แล้วนำเช็คที่ลูกค้าออกชำระหนี้ให้แก่โจทก์เข้าบัญชีเงินฝากนั้น และออกเช็คเบิกเงินโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ดังนี้ เมื่อได้ความว่า การที่ ผ. ขอเปิดบัญชีเงินฝากในนามบริษัทโจทก์ ได้มีเอกสารมาครบถ้วนตามระเบียบที่ธนาคารจำเลยวางไว้ ทั้งเอกสารระบุว่า ผ. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทโจทก์ได้ และพนักงานของธนาคารจำเลยตรวจพิจารณาเอกสารเหล่านั้นด้วยความระมัดระวังตามปกติธรรมดาที่เคยปฏิบัติมาของธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องการความรวดเร็วเพื่อให้ความสะดวกแก่ลูกค้าแล้ว เชื่อโดยสุจริตว่า ผ. เป็นกรรมการของบริษัทโจทก์จริง จึงรับเปิดบัญชีเงินฝากให้ ผ. และไม่ได้สอบถามบริษัทโจทก์หรือกองทะเบียนกระทรวงพาณิชย์อีกแม้ต่อมาปรากฏว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ ผ. กับพวกร่วมกันปลอมขึ้น ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่ออันจะเป็นการละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายเผอิญ จิตรากร ได้ขอเปิดบัญชีเงินฝากในนามโจทก์ต่อธนาคารจำเลย โดยนายเผอิญกับพวกได้ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารเพื่อแสดงว่านายเผอิญเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ จำเลยกระทำโดยประมาทมิได้ตรวจสอบหลักฐานให้ถูกต้องเสียก่อนตามปกติผู้ประกอบธุรกิจเช่นจำเลยจะพึงต้องกระทำ ทั้งไม่สอบถามมายังบริษัทโจทก์ ธนาคารจำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากในนามบริษัทโจทก์เป็นเจ้าของบัญชีให้นายเผอิญเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อในเช็คเบิกเงินในบัญชีได้ ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยดังกล่าว เป็นเหตุให้นายเผอิญซึ่งสมคบกับนายสุทิน จิตรากร พนักงานเก็บเงินของโจทก์ นำเอาเช็คที่ลูกค้าออกให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้รวม 5 ฉบับ เป็นเงิน120,536 บาท 47 สตางค์ เข้าบัญชี แล้วนายเผอิญออกเช็คเบิกเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย 120,536บาท 47 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีให้แก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์เองเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อไม่วางระบบวิธีการรับและเก็บรักษาเช็คให้รัดกุม เป็นเหตุให้นายเผอิญกับนายสุทินพนักงานเก็บเงินของโจทก์ยักยอกเอาเช็คที่ลูกค้าชำระหนี้มาเข้าบัญชีของธนาคารจำเลย แล้วเบิกถอนเอาไปได้

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายเผอิญ จิตรากร มาขอเปิดบัญชีเงินฝากในนามบริษัทโจทก์ โดยนำหลักฐานเอกสารมาแสดงต่อธนาคารจำเลย สาขาคลองประปาครบถ้วนตามระเบียบที่ธนาคารจำเลยวางไว้สำหรับนิติบุคคลมาขอเปิดบัญชีเงินฝาก ทั้งในเอกสารระบุไว้ว่านายเผอิญ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทได้ ในเอกสารไม่มีร่องรอยแสดงให้เห็นพิรุธอันน่าสงสัย จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องสอบไปทางบริษัทโจทก์หรือกองทะเบียนกระทรวงพาณิชย์ การประกอบธุรกิจธนาคารหรือการค้า ต้องการความรวดเร็วเพื่อให้ความสะดวกแก่ลูกค้า ฉะนั้น พนักงานของธนาคารจำเลย สาขาคลองประปา รับเปิดบัญชีเงินฝากให้นายเผอิญ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยเหตุผลแล้ว และที่นายเผอิญนำภาพถ่ายเอกสารมาแสดง และธนาคารจำเลยสาขาคลองประปายอมรับพิจารณาภาพถ่ายเอกสารที่รับรองว่าถูกต้อง ก็เป็นการกระทำตามปกติธรรมดาที่เคยปฏิบัติมาของธนาคาร หาใช่ประมาทเลินเล่อไม่ เมื่อพนักงานของธนาคารจำเลยตรวจดูเอกสาร ล.1 ซึ่งบ่งบอกลักษณะว่าเป็นหนังสือของทางราชการใช้โดยเฉพาะ ผู้ใดพบเห็นก็ย่อมจะเข้าใจว่าเป็นหนังสือรับรองของทางราชการโดยไม่เกิดความระแวงสงสัย แล้วเชื่อว่าเป็นของแท้ และยอมรับเปิดบัญชีเงินฝากให้นายเผอิญในนามบริษัทโจทก์ อันเป็นการกระทำโดยรอบคอบที่ใช้ความระมัดระวังพอสมควรแล้ว ต่อมานายเผอิญได้เอาเช็คเข้าบัญชี และมีการถอนเงินไปตามข้อตกลงและวิธีการทางปฏิบัติตามปกติของธนาคารเป็นเหตุผลทำให้พนักงานของธนาคารจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่านายเผอิญเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทโจทก์ที่แท้จริง

ที่โจทก์ฎีกาว่า บริษัทโจทก์ได้จดทะเบียนโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วบุคคลทั้งหลายย่อมรู้ ข้ออ้างนี้จะผูกพันบุคคลทั่วไปเฉพาะนิติกรรมสัญญาเท่านั้น ไม่มีผลถึงเรื่องละเมิดเช่นกรณีนี้ ฝ่ายจำเลยเองก็นำสืบไว้ว่า ไม่เคยรู้ว่ามีบริษัทโจทก์อยู่ก่อนที่นายเผอิญมาแจ้ง

สรุปแล้ว ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าฝ่ายจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นการละเมิดแก่โจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด

พิพากษายืน

Share