แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยให้ทำการย่อยและขนส่งหินคลุกกองรายทางใช้สำหรับราดยางในทางหลวง ตามสัญญาดังกล่าวกำหนดให้จำเลยส่งมอบงานงวดที่ 1 ให้เสร็จภายในวันที่ 3 ตุลาคม 2522 และส่งมอบงานงวดที่ 2 ให้เสร็จภายในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2522 เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้มาตั้งแต่ครบกำหนดส่งมอบงานงวดที่ 1 คือ วันที่3 ตุลาคม 2522 จำเลยจึงผิดนัดตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและบังคับตามสิทธิเรียกร้องแก่จำเลยได้นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดดังกล่าว ดังนั้น อายุความจึงต้องเริ่มนับแต่ขณะที่โจทก์อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 เดิม (มาตรา 193/12ที่แก้ไขใหม่) โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2532จึงเกินกำหนด 10 ปี คดีโจทก์ย่อมขาดอายุความตามมาตรา 164 เดิม|มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่) จำเลยจึงมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้ตามมาตรา 188 เดิม(มาตรา 193/10 ที่แก้ไขใหม่)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจ้างจำเลยให้ทำการย่อยและขนส่งหินคลุกกองรายทาง ใช้ทำงานราดยางในทางหลวง กำหนดระยะเวลาทำงานให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ตกลงจ่ายค่าจ้างเป็นงวดรวม2 งวด งวดที่ 1 เป็นเงิน 287,385 บาท เมื่อจำเลยทำการย่อยและขนส่งหินคลุกได้ไม่น้อยกว่า 2,499 ลูกบาศก์เมตร และคณะกรรมการตรวจรับงานเรียบร้อยแล้วภายในวันที่ 3 ตุลาคม 2522 งวดที่ 2เป็นเงิน 287,385 บาท เมื่อจำเลยได้ทำการย่อยและขนส่งหินคลุกส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2522 หากจำเลยไม่ลงมือทำงานภายในกำหนดเวลา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญา และจ้างผู้อื่นทำงานต่อจากจำเลย โดยยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวัน วันละ400 บาท นับแต่วันที่ล่วงเลยกำหนดวันแล้วเสร็จตามสัญญาจนถึงวันที่งานแล้วเสร็จ ปรากฏว่าจำเลยมิได้ลงมือทำงานตามสัญญาจนพ้นกำหนดระยะเวลาที่ตกลงจ่ายเงินงวดแรก โจทก์ได้เตือนจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญา แต่จำเลยเพิกเฉยโจทก์จึงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยและว่าจ้างบริษัทหาญเจริญเอนเตอร์ไพรส์เชียงรายจำกัด ทำงานดังกล่าวจนแล้วเสร็จในราคา 1,379,448 บาท ทำให้โจทก์ต้องจ้างผู้รับจ้างรายใหม่เป็นเงินเกินกว่าที่จ้างจำเลยจำนวน 804,678 บาท จำเลยต้องรับผิดชำระค่าปรับตามสัญญาเป็นรายวันในอัตราวันละ 400 บาท รวม 134 วัน คิดเป็นเงิน 53,600 บาทขอให้จำเลยชดใช้ค่าปรับและค่าเสียหายที่จ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้นรวมเป็นเงิน 858,278 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาที่มีต่อโจทก์ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาทุกประการ แต่โจทก์ไม่ยอมรับงานที่จำเลยทำทั้งไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้อง จำเลยจึงไม่ผิดสัญญาต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะปรับจำเลย เพราะโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายหากจะปรับก็ปรับได้ไม่เกินวันละ 10 บาท ค่าปรับขาดอายุความแล้วเพราะเป็นการปรับอันเกิดจากการจ้างแรงงาน ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกค่าเสียหายเนื่องจากจ้างบุคคลอื่นมาทำงานสูงเกินความเป็นจริงและขาดอายุความ เนื่องจากฟ้องเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ทราบความเสียหายและทราบผู้ก่อความเสียหาย โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวหรือบอกเลิกสัญญากับจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 804,678 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคำขออื่นให้ยก
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 775,939.50 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย ป.จ.4 ข้อ 4ของศาลแพ่ง กำหนดให้จำเลยส่งมอบงานงวดที่ 1 ให้เสร็จภายในวันที่ 3 ตุลาคม 2522 และให้ส่งมอบงานงวดที่ 2 ให้เสร็จภายในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2522 และตามสัญญาดังกล่าวในข้อ 5 ระบุไว้ว่า”ผู้รับจ้างสัญญาว่าจะเริ่มลงมือทำงานจ้าง ณ สถานที่ที่กำหนดภายในวันที่ 10 กันยายน 2522 และให้แล้วเสร็จบริบูรณ์ภายในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2522 ถ้าผู้รับจ้างมิได้ลงมือทำงานภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็ดี หรือมีเหตุให้ผู้ว่าจ้างเชื่อได้ว่าผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จบริบูรณ์ภายในกำหนดเวลาก็ดีหรือล่วงกำหนดเวลาแล้วเสร็จบริบูรณ์ไปแล้วก็ดี หรือผู้รับจ้างทำผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดก็ดี ผู้ว่าจ้างมีสิทธิจะบอกเลิกสัญญานี้ได้ และมีอำนาจจ้างผู้อื่นทำงานนี้ต่อจากผู้รับจ้างได้ด้วย”สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้เป็นยุติตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้นจำนวนค่าเสียหายของโจทก์เกิดจากจำเลยประพฤติผิดสัญญาไม่ชำระหนี้เลยเป็นเหตุให้โจทก์ต้องจ้างให้ผู้อื่นมาทำการงานแทนจำเลย กล่าวคือ จำเลยได้ตกเป็นผู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้มาตั้งแต่เมื่อครบกำหนดส่งมอบงานงวดที่ 1 วันครบกำหนดส่งมอบงานงวดที่ 1 ตามสัญญาข้อ 4 คือวันที่ 3 ตุลาคม 2522 ดังนั้นจำเลยจึงผิดนัดตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและบังคับตามสิทธิเรียกร้องกับจำเลยได้นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดดังกล่าว ดังนั้น อายุความจึงต้องเริ่มนับแต่ขณะที่โจทก์อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 169 เดิม (193/12 ที่แก้ไขใหม่) โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2532 นับถึงวันฟ้องเกินกำหนด 10 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม(มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่) จำเลยจึงมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 188 เดิม (มาตรา 193/10 ที่แก้ไขใหม่)
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์