คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7190/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271มิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้ภายใน10ปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลใดก็ตามแต่เมื่อมีการอุทธรณ์หรือฎีกาผลของคำพิพากษาอาจจะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ได้แล้วแต่กรณีดังนั้นกรณีที่มีการฎีการะยะเวลาการบังคับคดีก็ต้องนับจากวันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแม้ในชั้นฎีกาจำเลยไม่ได้ขอทุเลาการบังคับคดีและโจทก์มีสิทธิขอบังคับคดีได้ก็เป็นคนละเรื่องกับกำหนดเวลาในการบังคับคดี กำหนดเวลาในการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271เป็นเรื่องระยะเวลาที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะบังคับแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดระยะเวลาดังกล่าวจึงไม่ใช่อายุความไม่อาจนำเรื่องการเริ่มนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/12มาใช้บังคับได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2535 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารคอนกรีตกว้าง 7 เมตร ยาว 9 เมตรสูงประมาณ 3 เมตร บนอาคารเลขที่ 125/3-4 ถนนเฟื่องนครแขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามก็ได้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนได้โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2525จำเลยทั้งสองฎีกา โดยไม่ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีในระหว่างฎีกาต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืนโดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2527 โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2527 ศาลชั้นต้นออกคำบังคับเมื่อวันที่ 10สิงหาคม 2527 โดยให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ที่ได้รับคำบังคับ ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม2537 โจทก์โดยผู้อำนวยการเขตพระนครมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารพิพาท หากจำเลยทั้งสองไม่รื้อถอนโจทก์จะจัดการรื้อถอนภายในวันที่ 18 พฤษภาคม 2537
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้งดการบังคับคดีอ้างว่า โจทก์หมดสิทธิบังคับคดี เนื่องจากขอบังคับเกินกำหนด 10 ปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์มีสิทธิบังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่มีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2527 นับถึงวันยื่นคำร้องยังไม่เกิน 10 ปีจึงให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คดีนี้ได้มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2525 แม้จำเลยทั้งสองฎีกาแต่ก็ไม่ได้ขอทุเลาการบังคับคดี โจทก์ย่อมมีสิทธิขอบังคับคดีได้นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเพราะบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งของมาตรา 271 ไม่ได้ระบุว่านับแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลใดหรือนับแต่วันที่มีคำพิพากษาทีถึงที่สุดนั้น มาตรา 271 บัญญัติไว้เป็นใจความว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับดคีตามคำพิพากษาได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาเห็นว่า แม้บทบัญญัติดังกล่าวมิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งว่า นับแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลใดก็ตาม แต่เมื่อมีการอุทธรณ์หรือฎีกาผลของคำพิพากษาอาจจะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ได้แล้วแต่กรณี กรณีของจำเลยทั้งสองเมื่อมีการฎีการะยะเวลาการบังคับคดีก็ต้องนับจากวันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาส่วนที่ว่าในชั้นฎีกาจำเลยทั้งสองไม่ได้ขอทุเลาการบังคับคดีและโจทก์มีสิทธิขอบังคับคดีได้ เป็นคนละเรื่องกับกำหนดเวลาในการบังคับคดีและที่จำเลยฎีกาว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12บัญญัติให้นับอายุความตั้งแต่ขณะอาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องเป็นต้นไปเมื่อโจทก์สามารถบังคับคดีได้ตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น เห็นว่ากำหนดเวลาในการบังคับคดีเป็นเรื่องระยะเวลาที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดระยะเวลาดังกล่าวจึงไม่ใช่อายุความ
พิพากษายืน

Share