คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6355/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์พาผู้เสียหายไปบ้านเกิดเหตุเพื่อให้จำเลยที่ 1 กับพวกซึ่งเป็นพวกของจำเลยที่ 2 ข่มขืนกระทำชำเราพฤติการณ์มีลักษณะเป็นการคบคิดกันมาก่อน และในขณะที่จำเลยที่ 1กับพวกกำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอยู่นั้น จำเลยที่ 2 ก็อยู่ร่วมรู้เห็นเหตุการณ์ในห้องที่เกิดเหตุนั้นด้วยโดยตลอด แม้จำเลยที่ 2มิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม การกระทำของจำเลยที่ 2ก็ถือว่าเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 กับพวกในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงแล้ว
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารนั้น เมื่อจำเลยที่ 2กับพวกร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควร และพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอันไม่สมควรทางเพศ ก็เป็นความผิดสำเร็จฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารกรรมหนึ่งแล้ว ส่วนการที่จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหลังจากนั้นโดยจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมด้วย จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ซึ่งต่างกรรมต่างวาระกัน การกระทำของจำเลยที่ 2กับพวกจึงเป็นความผิดหลายกรรม
ในความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำคุกจำเลยทั้งสองหนักเกินไปย่อมกำหนดโทษจำเลยทั้งสองเสียใหม่ให้เบาลง เพื่อให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ฎีกาแต่จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา แต่การกระทำความผิดข้อหานี้ร่วมกันเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาแก้โทษตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213ประกอบกับมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2540 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยทั้งสองกับนายชิตชลหรือโอ ธูปแพ และนายสุรศักดิ์หรือกล้วย แพ่งแสงซึ่งเป็นเยาวชนและได้แยกดำเนินคดีไปต่างหากแล้วกับพวกที่หลบหนีอีกหนึ่งคนร่วมกันพรากนางสาว ว. ผู้เยาว์ อายุ 17 ปีเศษ ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากนายประสิทธิ์ แดงอินทวัฒน์ บิดา เพื่อข่มขืนกระทำชำเราอันเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารเมื่อระหว่างวันที่ 24 เมษายน 2540 เวลากลางคืนหลังเที่ยงถึงวันที่ 25 เมษายน 254 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงติดต่อกัน จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังนางสาว ว. ผู้เสียหายไว้ในที่พักพวกของจำเลยทั้งสอง ทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยจำเลยทั้งสองกับพวกได้ขู่เข็ญและใช้กำลังประทุษร้ายจับแขนและขาของผู้เสียหาย จนผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง วันที่ 25 เมษายน 2540 เวลากลางวันจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่อีก 2 ครั้งโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 319, 310, 91, 83

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา นายประสิทธิ์ แดงอินทวัฒน์ บิดาของนางสาว ว.ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาพรากผู้เยาว์ ส่วนข้อหาอื่นโจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหาย จึงไม่อนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง, 319 วรรคแรก, 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงจำคุกคนละ 15 ปี ฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจำคุกคนละ 4 ปี รวมจำคุกคนละ 19 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 9 ปี 6 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือไม่ ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้เสียหายเป็นบุตรของโจทก์ร่วมขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอายุ 17 ปีเศษ พักอาศัยอยู่กับโจทก์ร่วมที่บ้านเลขที่ 239 ซอยมิตรอนันต์ แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิตกรุงเทพมหานคร วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 21 นาฬิกา นายกล้วยโทรศัพท์ชวนผู้เสียหายออกจากบ้านไปพบจำเลยทั้งสอง นายกล้วยและนายโอนายกล้วยชวนผู้เสียหายไปรับประทานอาหารที่ตลาดราชวัตร โดยใช้รถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับเป็นยานพาหนะ แต่จำเลยที่ 2 กลับขับรถยนต์พาผู้เสียหายไปบ้านนายเป้ซึ่งอยู่ที่ตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่จังหวัดนนทบุรีขณะนั้นนายเป้ไม่อยู่บ้าน จำเลยทั้งสองจึงอุ้มผู้เสียหายเข้าห้องนายเป้ทางหน้าต่างรออยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง นายเป้กลับมามีคนปิดไฟและช่วยกันถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายออก ขณะนั้นมีคนจุดเทียนหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 นายกล้วยและนายโอได้หมุนเวียนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายคนละ 2 ครั้ง นายเป้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย1 ครั้ง ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วย ที่จำเลยที่ 2ฎีกาว่า ขณะที่จำเลยที่ 1 กับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยที่ 2ไม่ได้อยู่ในห้องที่เกิดเหตุและไม่รู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 กับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยนั้น เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความยืนยันว่าขณะจำเลยที่ 1 กับพวกกำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายนั้น จำเลยที่ 2 อยู่ในห้องที่เกิดเหตุด้วยที่จำเลยที่ 2 เบิกความอ้างว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เดินไปซ้อมดนตรีกับเพื่อนที่กระต๊อบใกล้บ้านที่เกิดเหตุโดยมิได้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยนั้น เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ และขัดกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.16 ซึ่งปรากฏรายละเอียดว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 กับพวกกำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอยู่นั้น จำเลยที่ 2ก็นั่งอยู่ในห้องที่เกิดเหตุและรู้เห็นเหตุการณ์ด้วย จำเลยที่ 2 ให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุประมาณ 12 วัน จึงยังไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองหาข้อแก้ตัวได้ทันในขณะนั้น พยานโจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 อยู่ในห้องที่เกิดเหตุด้วยนอกจากนี้ผู้เสียหายยังเบิกความอีกว่า ขณะจำเลยที่ 1 กำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในครั้งที่สอง จำเลยที่ 2 จับขาข้างซ้ายของผู้เสียหายและถามว่าไม่มีอารมณ์เลยหรือ และผู้เสียหายเบิกความต่อไปอีกว่า หลังจากจำเลยที่ 1 นายกล้วยและนายโอข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว ครั้งแรกนายเป้จะไม่ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่จำเลยที่ 2 บอกว่าหากนายเป้ไม่ทำผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 จะทำเอง ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์พาผู้เสียหายไปที่บ้านเกิดเหตุเพื่อให้จำเลยที่ 1กับพวกซึ่งเป็นพวกของจำเลยที่ 2 ข่มขืนกระทำชำเรา โดยพฤติการณ์จึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 คบคิดกับพวกมาก่อน และในขณะที่จำเลยที่ 1 กับพวกกำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอยู่นั้น จำเลยที่ 2ก็อยู่ร่วมรู้เห็นเหตุการณ์ในห้องที่เกิดเหตุนั้นด้วยโดยตลอด แม้จำเลยที่ 2 มิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม การกระทำของจำเลยที่ 2 ก็ถือว่าเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 กับพวกในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงแล้วตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาในประการต่อมาว่า การที่จำเลยกับพวกร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารนั้น ก็เพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย อันเป็นเจตนาที่มีเพียงอย่างเดียวและได้กระทำการในเวลาต่อเนื่องกัน จึงเป็นความผิดเพียงกรรมเดียวนั้น เห็นว่า ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควร และพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอันไม่สมควรทางเพศ ก็เป็นความผิดสำเร็จฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารกรรมหนึ่งแล้ว การที่จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหลังจากนั้น โดยจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมในการกระทำผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงด้วยจึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ซึ่งต่างกรรม ต่างวาระกัน การกระทำของจำเลยที่ 2 กับพวกจึงเป็นความผิดหลายกรรม คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 2 อ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยที่ 2ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการต่อไปว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.16 ซึ่งศาลอุทธรณ์ใช้เป็นพยานหลักฐานในการลงโทษจำเลยที่ 2 จึงมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ขอให้ศาลฎีกาลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งนั้น เห็นว่า คำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.16 เป็นการให้ความรู้แก่ศาล นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษสมควรลดโทษให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน

สำหรับความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ4 ปี หนักเกินไป เห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยทั้งสองเสียใหม่ให้เบาลงเพื่อให้เหมาะสมตามพฤติการณ์แห่งคดีเมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งฎีกากับจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกา กระทำผิดข้อหานี้ร่วมกันเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาแก้โทษตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225”

พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี ลดโทษจำคุกให้จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 ในข้อหานี้ 1 ปี 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง 7 ปี 6 เดือน รวมเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี 12 เดือน สำหรับจำเลยที่ 2 เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง15 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 18 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share