แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติว่าด้วยลักษณะฐานะของวัดบาดหลวงโรมันคาทอลิคในกรุงสยามตามกฎหมายร.ศ.128ข้อ1และข้อ2วรรคหนึ่งและวรรคสองระบุให้มิสซังมีฐานะเป็นบริษัทมิสซังโรมันคาทอลิคกรุงเทพมหานครจึงเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา65,66ที่ได้ตรวจชำระใหม่ไม่ได้บัญญัติให้ยกเลิกมัสซังโรมันคาธอลิคว่าไม่เป็นนิติบุคคลแต่อย่างใดแต่ได้บัญญัติรับรองไว้ว่านิติบุคคลจะมีขึ้นได้ก็แต่ด้วยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นและนิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นภายในขอบอำนาจแห่งหน้าที่หรือวัตถุประสงค์ดังได้บัญญัติหรือกำหนดไว้ในกฎหมายข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งเมื่อโจทก์เป็นมิสซังโรมันคาธอลิคเป็นนิติบุคคลอยู่ก่อนแล้วตามพระราชบัญญัติว่าด้วยลักษณะฐานะของวัดบาดหลวงโรมันคาธอลิคในกรุงสยามตามกฎหมายร.ศ.128ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษยังใช้บังคับจนปัจจุบันนี้พระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นกฎหมายอื่นฉบับหนึ่งตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา65โจทก์จึงย่อมมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายอยู่ต่อไป ข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ใช่บริษัทจำคุกตามความในบรรพ3ลักษณะ22หมวด4จึงไม่เป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ1หมวด2นั้นปัญหาข้อนี้แม้จะวินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงถือว่าไม่เป็นสาระแก่คดีศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
คดี ทั้ง ห้า สำนวน นี้ ศาลชั้นต้น สั่ง พิจารณา และ พิพากษา รวมกับคดี หมายเลขแดง ที่ 1285/2535 ของ ศาลชั้นต้น ซึ่ง คดี ยุติ ไป ตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ โดย ศาลชั้นต้น เรียก จำเลย ใน คดี ดังกล่าวเป็น จำเลย ที่ 2 คง มี ปัญหา มา สู่ ศาลฎีกา เฉพาะคดี ห้า สำนวน นี้โดย ศาลชั้นต้น เรียก จำเลย ทั้ง ห้า สำนวน เรียง ตาม สำนวน เป็น จำเลย ที่ 1และ ที่ 3 ถึง ที่ 6 ตามลำดับ
โจทก์ ฟ้อง จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ถึง ที่ 6 ใน ทำนอง เดียว กัน ว่าเมื่อ วันที่ 1 มกราคม 2531 โจทก์ ตกลง ให้ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3ถึง ที่ 6 เช่า ที่ดิน ของ โจทก์ โฉนด เลขที่ 1772 กำหนด เวลา 1 ปีจน ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2531 ต่อมา โจทก์ ไม่ประสงค์ จะ ให้ จำเลย ที่ 1และ ที่ 3 ถึง ที่ 6 เช่า ที่ดิน จึง มี หนังสือ บอกเลิก การ เช่า ให้ จำเลยที่ 1 และ ที่ 3 ถึง ที่ 6 รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ขนย้าย บริวาร ออก ไปแต่ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ถึง ที่ 6 ไม่ปฏิบัติ ตาม ทำให้ โจทก์ เสียหายขอให้ ขับไล่ จำเลย และ บริวาร ทั้งหมด ออกจาก ที่ดิน โฉนด เลขที่ 1772พร้อม รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ออก ไป จาก ที่ดิน ของ โจทก์ ให้ จำเลย ที่ 1และ ที่ 3 ถึง ที่ 6 ใช้ ค่าเสียหาย เป็น รายเดือน แก่ โจทก์ นับแต่วันฟ้อง จนกว่า จำเลย แต่ละ คน จะ ขนย้าย บริวาร และ ทรัพย์สินออกจาก ที่ดิน ของ โจทก์
จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ถึง ที่ 6 ให้การ ต่อสู้ คดี ทำนอง เดียว กันหลาย ประการ และ ต่อสู้ ว่า โจทก์ ไม่เป็น นิติบุคคล ตาม กฎหมาย ไม่ได้รับมอบ อำนาจ จาก วัด พระ แม่ สกล สงเคราะห์ จึง ไม่มี อำนาจฟ้องขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง หก และ บริวารรื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง และ ขนย้าย ออก ไป จาก ที่ดิน โฉนด เลขที่ 1772ของ โจทก์ ให้ จำเลย ทั้ง หก ใช้ ค่าเสียหาย แก่ โจทก์ นับแต่ วันฟ้องจนกว่า จะ ขนย้าย ออก ไป
จำเลย ทั้ง หก อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ถึง ที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า มี ปัญหาข้อกฎหมาย ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกาของ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ถึง ที่ 6 ว่า โจทก์ เป็น นิติบุคคล หรือไม่เห็นว่า ตาม พระราชบัญญัติ ว่าด้วย ลักษณะ ฐานะ ของ วัด บาด หลวง โรมันคา ธอลิคใน กรุง สยาม ตาม กฎหมาย ร.ส. 128 ข้อ 1 บัญญัติ ว่า”คณะ โรมัน คา ธอลิคใน กรุง สยาม นี้ ไม่ เลือก ว่า มิชซังแลบาด หลวงจะ เป็น คน ชาติ ภาษา ใด ๆ ได้รับ อนุญาต ตาม กฎหมาย ฝ่าย สยามให้ เป็น บริษัท อัน หนึ่ง เฉพาะ วิการิโอ อาปอสตอลิโก แห่ง หนึ่ง ให้ มีอำนาจ ถือ ที่ดิน สำหรับ ประโยชน์ มิชซัง ตาม ข้อความ ที่ กำหนด ไว้ใน พระราชบัญญัติ นี้ ” และ ข้อ 2 วรรคหนึ่ง และ วรรคสอง บัญญัติ ว่า” วิการิอาโต อาปอสตอลิโก นั้น ต่อไป ใน ภายหลัง เรียกว่า บิสชอปริก ฤา มิชซัง
วิการิโอ อาปอสตอลิโก ที่ โป๊ป ได้ แต่งตั้ง มา ให้ เป็น ผู้ใหญ่ ผู้หนึ่ง ใน บิสชอปริก แห่ง หนึ่ง และ ถ้า ไม่มี ตัว อยู่ ผู้บัญชาการ ใน มัชซังนั้น เป็น ผู้แทน บริษัท ของ บิสชอปริก ฤา มิชซัง เหมือน อย่าง บริษัท ที่ บุคคล รวมกัน ทำการ ได้ อัน หนึ่ง ” ตาม บทบัญญัติของ กฎหมาย ดังกล่าว ได้ ระบุ ให้ มิชซัง มี ฐานะ เป็น บริษัท ดังนั้นโจทก์ จึง เป็น นิติบุคคล ตาม กฎหมาย ซึ่ง พระคาร์ดินัล มีชัย เป็น ผู้มีอำนาจ กระทำการ แทน ตาม เอกสาร หมาย จ. 1 โจทก์ จึง มีอำนาจ ฟ้องที่ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ถึง ที่ 6 ฎีกา ว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 65, 66 ที่ ได้ ตรวจ ชำระ ใหม่ ได้ ยกเลิก บทบัญญัติ ใน มาตรา 72 เดิมแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทำให้ ทำ นิติบุคคล ประเภท วัด วา อา รามหรือ มิซซัง โรมัน คา ธอลิคไม่ ถือว่า เป็น นิติบุคคล ต่อไป นั้นเห็นว่า ตาม บทบัญญัติ มาตรา 65, 66 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ ได้ ตรวจ ชำระ ใหม่ ไม่ได้ บัญญัติ ให้ยก เลิก มิซซังโรมัน คา ธอลิคว่าไม่เป็น นิติบุคคล แต่อย่างใด แต่ ได้ บัญญัติ รับรอง ไว้ ว่า นิติบุคคลจะ มี ขึ้น ได้ ก็ แต่ ด้วย อาศัย อำนาจ แห่ง ประมวล กฎหมาย นี้ หรือ กฎหมาย อื่นและ นิติบุคคล ย่อม มีสิทธิ และ หน้าที่ ตาม บทบัญญัติ แห่ง ประมวล กฎหมาย นี้หรือ กฎหมาย อื่น ภายใน ขอบ แห่ง อำนาจ หน้าที่ หรือ วัตถุประสงค์ดัง ได้ บัญญัติ หรือ กำหนด ไว้ ใน กฎหมาย ข้อบังคับ หรือ ตรา สาร จัดตั้งเมื่อ โจทก์ เป็น มิซซังโรมัน คา ธอลิค เป็น นิติบุคคล อยู่ ก่อน แล้ว ตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วย ลักษณะ ฐานะ ของ วัด บาด หลวง โรมัน คา ธอลิคในกรุง สยาม ตาม กฎหมาย ร.ศ. 128 ซึ่ง เป็น กฎหมาย พิเศษ ยัง ใช้ บังคับจน ปัจจุบัน นี้ พระราชบัญญัติ ดังกล่าว จึง เป็น กฎหมาย อื่น ฉบับ หนึ่งตาม ความหมาย ของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 65 โจทก์ จึง ย่อมฐานะ เป็น นิติบุคคล ตาม กฎหมาย อยู่ ต่อไป ส่วน ข้อ ที่ จำเลย ที่ 1และ ที่ 3 ถึง ที่ 6 อ้างว่า โจทก์ ไม่ใช่ บริษัท จำกัด ตาม ความใน บรรพ 3ลักษณะ 22 หมวด 4 จึง ไม่เป็น นิติบุคคล ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 1 หมวด 2 นั้น ปัญหา ข้อ นี้ แม้ จะ วินิจฉัย ให้ ก็ ไม่ทำ ให้ ผลของ คดี เปลี่ยนแปลง ถือว่า ไม่เป็น สาระ แก่ คดี ศาลฎีกา ไม่รับ วินิจฉัย
พิพากษายืน