แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานโจทก์แม้จะไม่เคยมีสาเหตุอะไรกับจำเลยมาก่อน แต่ก็เป็นพนักงานของห้องอาหารที่เกิดเหตุซึ่งก่อนหน้านี้จำเลยเคยก่อเหตุมาแล้ว และข้อเท็จจริงได้ความจาก จ. พยานโจทก์ว่าขณะไฟฟ้าเปิดสว่างนั้น มีแขกโต๊ะอื่นยังรับประทานอาหารอยู่ 2 โต๊ะ แสดงว่าแขกดังกล่าวย่อมจะเห็นเหตุการณ์แน่นอนซึ่งถือเป็นพยานกลางพนักงานสอบสวนน่าจะสอบไว้เป็นพยานบ้าง แต่ก็ไม่ปรากฏ ส่วนร้อยตำรวจตรี จ. สิบตำรวจโท ว.และสิบตำรวจตรีท. แม้จะได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุคดีนี้และเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุเห็นจำเลยเมาสุราและอยู่ห่างโต๊ะที่อาวุธปืนของกลางวางอยู่ประมาณ 1 เมตรก็ตามแต่ก็ไม่ได้เห็นขณะจำเลยถืออาวุธปืนของกลาง ทั้งร้อยตำรวจตรี จ.ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุกับจำเลยมาก่อน พยานหลักฐานต่าง ๆ ที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักน้อย ยังมีความสงสัยตามควรว่าพยานโจทก์เห็นจำเลยเป็นผู้ถืออาวุธปืนของกลางเข้าไปวางบนโต๊ะอาหารในห้องอาหารที่เกิดเหตุจริงหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 55, 72 ทวิ, 78 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 58, 91, 371 บวกโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่1305/2531 ของศาลแขวงสุรินทร์เข้ากับโทษในคดีนี้ และนับโทษต่อกับโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 684/2532 หมายเลขแดงที่ 1503/2532 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 812/2532 หมายเลขแดงที่1610/2532 ของศาลแขวงสุรินทร์ ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเคยต้องโทษจำคุก 6 เดือน โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 2 ปี ในคดีที่ขอให้บวกโทษ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาที่ขอให้บวกโทษและคดีอาญาทั้งสองคดีที่ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคสอง, 55, 72 ทวิ วรรคสอง, 78ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 58, 91, 371 เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ จำคุก 4 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวโดยเปิดเผย ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ อันเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มีกำหนด 2 ปีรวมจำคุก 6 ปี นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่684/2532 หมายเลขแดงที่ 1503/2532 และคดีอาญาหมายเลขดำที่812/2532 หมายเลขแดงที่ 1610/2532 ของศาลแขวงสุรินทร์ ริบของกลางคำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ส่วนอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางมีไว้เป็นความผิดคงให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุซึ่งเป็นห้องอาหารครัวหลวงในโรงแรมเมมโมเรียล เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้อาวุธปืนของกลางซึ่งวางอยู่บนโต๊ะอาหารในห้องอาหารดังกล่าว โดยกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดคดีนี้ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวแม้โจทก์จะมีนายเจษฎา ร้อยตำรวจตรีจีระ สิบตำรวจโทวีระ สิบตำรวจตรีเทพพรนางนพรัตน์หรือนพ นายวสันต์ นายบาคาน นายเสงี่ยม นายบรรจง และนายระพิน เป็นพยานเบิกความยืนยันอ้างว่า เห็นเหตุการณ์โดยเฉพาะนายเจษฎา นางนพรัตน์ นายวสันต์ นายบาคาน นายเสงี่ยม นายบรรจงและนายระพินยืนยันว่าเห็นจำเลยถืออาวุธปืนของกลางเข้ามาในห้องอาหารในเวลาเกิดเหตุ ซึ่งเป็นเวลาที่ห้องอาหารเลิกก็ตามแต่ปรากฏจากคำเบิกความของนายเจษฎาว่าห้องอาหารที่เกิดเหตุเคยมีสาเหตุกับจำเลยมาก่อนโดยจำเลยได้ทะเลาะทำร้ายร่างกายนายเชษฐาหรือป๋องผู้จัดการคนก่อนในห้องอาหารที่เกิดเหตุ นอกจากนี้นายเจษฎาเองได้เบิกความตอบคำถามค้านทนายความของจำเลยว่า เมื่อออกจากห้องอาหารไปข้างนอกได้แจ้งแก่ร้อยตำรวจตรีจีระว่ามีชายนำอาวุธปืนเข้าไปในห้องอาหารไม่ทราบว่าเป็นใครและอาวุธปืนวางอยู่บนโต๊ะคำของนายเจษฎาจึงเป็นข้อพิรุธเพราะนายเจษฎาเบิกความรับว่ารู้จักจำเลยดี จึงเป็นข้อเจือสมกับที่จำเลยนำสืบว่าคืนเกิดเหตุเวลาเกิดเหตุ หลังจากดื่มสุราที่ พี 3 ผับ กับนายฐิติพงษ์ ศรีตัมภวาซึ่งเป็นเพื่อนแล้วแยกขับรถไปรับนางสาวตุ๊กนักร้องที่ห้องอาหารที่เกิดเหตุ ขณะเข้าไปไฟฟ้าสลัว ๆ ยืนรอนางสาวตุ๊ก มีแขกนั่งอยู่3-4 โต๊ะ เมื่อไฟฟ้าสว่างขึ้นมีเสียงพูดขึ้นว่า ปืนใครวางตรงนี้หันไปดูเห็นอาวุธปืนอยู่บนโต๊ะอาหาร จำเลยเข้าไปใกล้แต่ไม่ได้ดูคนอื่น 3-4 คน เข้าไปดู ต่อมาเห็นนายเจษฎาแจ้งแก่ร้อยตำรวจตรีจีระว่าอาวุธปืนเป็นของจำเลยเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยโดยบันทึกว่ายึดอาวุธปืนของกลางได้จากจำเลย จำเลยจึงปฏิเสธและไม่ยอมลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม ที่นายเจษฎาเบิกความให้เหตุผลที่แจ้งดังกล่าวแก่ร้อยตำรวจตรีจีระว่าเพราะความตกใจกลัวนั้นไม่มีเหตุผลในการรับฟัง เนื่องจากนายเจษฎาเองเบิกความว่า ขณะจำเลยถืออาวุธปืนเข้ามานั้นนายเจษฎาจะเข้าไปพูดกับจำเลย แต่มีพนักงานคนอื่นห้ามไว้จึงไม่ได้เข้าไปพูดกับจำเลย และได้ออกไปแจ้งแก่ร้อยตำรวจตรีจีระ ยิ่งกว่านั้นนายเสงี่ยม และนายระพินพยานโจทก์ยังเบิกความว่ารุ่งขึ้นนายเจษฎาเป็นผู้นำพนักงานของห้องอาหารและพยานไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ และให้บอกแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเห็นจำเลยถืออาวุธปืนในคืนเกิดเหตุพยานทั้งสองของโจทก์ดังกล่าวและนางนพรัตน์ นายวสันต์ นายบรรจง และนายบาคานแม้จะไม่เคยมีสาเหตุอะไรกับจำเลยมาก่อน แต่ก็เป็นพนักงานของห้องอาหารที่เกิดเหตุซึ่งก่อนหน้านี้จำเลยเคยก่อเหตุมาแล้ว อนึ่ง ข้อเท็จจริงได้ความจากนายเจษฎาพยานโจทก์ว่า ขณะไฟฟ้าเปิดสว่างนั้น มีแขกโต๊ะอื่นยังรับประทานอาหารอยู่ 2 โต๊ะ แสดงว่าแขกซึ่งรับประทานอาหารอยู่ 2 โต๊ะดังกล่าวย่อมจะเห็นเหตุการณ์แน่นอนซึ่งถือเป็นพยานคนกลาง พนักงานสอบสวนน่าจะสอบไว้เป็นพยานบ้าง แต่ก็ไม่ปรากฏคงมีแต่พนักงานของห้องอาหารที่เกิดเหตุทั้งสิ้น ส่วนร้อยตำรวจตรีจีระ สิบตำรวจโทวีระ และสิบตำรวจตรีเทพพร พยานโจทก์แม้จะเบิกความว่าได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุ คดีนี้และเมื่อไปถึงห้องอาหารที่เกิดเหตุเห็นจำเลยเมาสุราและอยู่ห่างโต๊ะที่อาวุธปืนของกลางวางอยู่ประมาณ 1 เมตร ก็ตาม แต่พยานดังกล่าวก็ไม่ได้เห็นขณะจำเลยถืออาวุธปืนของกลางแต่อย่างใด ทั้งร้อยตำรวจตรีจีระปรากฏว่าเคยมีสาเหตุกับจำเลยมาก่อน โดยขณะเกิดเหตุคดีนี้ร้อยตำรวจตรีจีระเป็นผู้เสียหายในคดีข้อหาความผิดที่จำเลยถูกกล่าวหาว่าดูหมิ่นเจ้าพนักงานและคดีกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลแขวงสุรินทร์ พยานหลักฐานต่าง ๆ ที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักน้อยยังมีความสงสัยตามสมควรว่า พยานโจทก์เห็นจำเลยเป็นผู้ถืออาวุธปืนของกลางเข้าไปวางบนโต๊ะอาหารในห้องอาหารที่เกิดเหตุจริงหรือไม่เพราะอาจเป็นบุคคลอื่นเป็นผู้นำไปวางก็ได้ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.