แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนที่จำเลยฟ้องขอไถ่ถอนการขายฝากที่นา ซึ่งในสัญญาระบุว่าขายฝากกันทั้งแปลง (มี 83 ไร่เศษ) แม้ในฟ้องจะกล่าวว่าแบ่งขายฝากกัน 50 ไร่ แต่เมื่อโจทก์จำเลยได้ปราณี ประนอมยอมความกัน โจทก์ยอมรับเงินค่าไถ่ครบถ้วนตามสัญญาขายฝาก ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ โจทก์จะกลับมาฟ้องอีกว่านาอีก 33 ไร่เศษจำเลยยังไม่ได้ขอไถ่นั้น เป็นการฟ้องซ้ำต้องห้าม
ย่อยาว
ได้ความว่าคดีเรื่องก่อนจำเลยนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้ขอไถ่นามีโฉนดเนื้อที่ ๘๓ ไร่เศษ ซึ่งขายฝากไว้แก่โจทก์เป็นเงิน ๑,๕๐๐ บาท ตามสัญญาท้ายฟ้อง ซึ่งมีว่า ขายฝากกันทั้งแปลงแต่ตามฟ้องเรื่องก่อนกล่าวว่าแบ่งขายฝากกัน ๕๐ ไร่ โจทก์ยอมให้ไถ่จึงทำสัญญาปราณีประนอมยอมความกันโดยจำเลยเจ้าของนาขายนานั้นให้โจทก์ ๕๐ ไร่เป็นเงิน ๓๒๐๐ บาท และหักใช้หนี้ค่าขายฝากให้แก่โจทก์เมื่อเวลาไปโอนขายและไถ่ถอนกัน ศาลพิพากษาไปตามยอมแล้ว แล้วโจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกว่า นาอีก ๓๓ ไร่เศษจำเลยยังมิได้ไถ่ เกิน ๑๐ ปีหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ นางเปลื้องจำเลยตัดฟ้องว่า โจทก์ฟ้องซ้ำและอื่น ๆ หลายประการ ส่วนนายฟุ้งจำเลยตาย โจทก์ขอถอนฟ้องฉะเพาะนายฟุ้งไป
ศาลชั้นต้นงดสืบพะยาน วินิจฉัยว่าจำเลยชำระเงินไถ่การขายฝากครบถ้วนแล้ว สัญยาขายฝากระงับโจทก์ไม่มีสิทธิอ้างสัญญาขายฝากมาฟ้องอีก พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์เอาเรื่องขายฝากที่จำเลยไถ่ถอนเสร็จทั้งแปลงแล้วมาฟ้องอีกเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๔๘ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ได้ไถ่ถอนการขายฝากกันเสร็จแล้วเพราะปรากฎตามสัญญาขายฝากว่า ขายฝากกันทั้งแปลง,โจทก์ยอมให้ไถ่และรับเงินค่าไถ่ครบถ้วนตามสัญญาขายฝากนั้น จนศาลได้พิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ว่าสัญญาขายฝากได้มีการไถ่ถอนกันเสร็จแล้ว ฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องฟ้องซ้ำ ต้องห้ามด้วย ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา๑๔๘
พิพากษายืน