แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 จะบัญญัติว่าที่ดินซึ่งมิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลใดให้ถือว่าเป็นของรัฐแต่มาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินก็บัญญัติว่าภายใต้บังคับ มาตรา 6 บุคคลใดได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินก่อนวันที่ ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธิครอบครองสืบไปและให้ คุ้มครองถึงผู้รับโอนด้วย บิดาโจทก์ครอบครองที่พิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ.2485 ก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ บิดาโจทก์จึง มีสิทธิครอบครองที่พิพาท และเมื่อบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมสิทธิครอบครองที่พิพาทย่อมตกทอดมาเป็นของโจทก์ในฐานะบุตรผู้รับโอนทางมรดก ซึ่งได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 4 การที่โจทก์ให้จำเลยเช่าที่พิพาทตลอดมาก็ เป็นการกระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์ในที่พิพาท ในฐานะที่โจทก์ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองอย่างหนึ่ง มิใช่เป็นการกระทำที่ โจทก์ประสงค์จะสละการครอบครอง
การที่บุคคลจะมีสิทธิครอบครองในที่ดินรายใด อาจเกิด ขึ้นโดยบุคคลนั้นเข้ายึดถือที่ดินโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 หรือโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้ตามมาตรา 1368. กรณีที่จะมอบให้ผู้อื่นยึดถือไว้ ให้หรือมอบให้ครอบครองแทน มาตรา 1368 มิได้กำหนดแบบไว้แต่อย่างใด การที่โจทก์ให้จำเลยเช่าที่พิพาทโจทก์ก็ยังเป็น ผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทอยู่โดยจำเลยเป็นผู้ยึดถือไว้ให้ จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าจะอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ที่พิพาทขึ้นใช้ต่อสู้กับโจทก์โดยมิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม มาตรา 1381 หาได้ไม่
โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งจำเลยเช่าจากโจทก์มีกำหนดเวลาเช่า 3 ปี. ครบกำหนดตามสัญญาเช่า แล้วโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป ได้บอกกล่าวให้ จำเลยทราบแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยเป็น การละเมิดต่อสิทธิของโจทก์และมีคำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตั้งแต่ภายหลังที่ครบกำหนดตามสัญญาเช่า ดังนี้ คำบรรยายฟ้องโจทก์ดังกล่าวนี้เป็นการกล่าวอ้างว่า การที่ จำเลยคงอยู่ในที่พิพาทต่อมาภายหลังที่ครบกำหนดสัญญาเช่าและ โจทก์ได้บอกกล่าวแล้วเป็นการอยู่ต่อมาโดยไม่มีสิทธิ เป็นการละเมิดซึ่งพอจะเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลย กระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่ภายหลังที่ครบกำหนด ตามสัญญาเช่าฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ส.ค.๑ เลขที่ ๑๗ จำเลยได้เช่าที่ดินของโจทก์มีกำหนด ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๐ ถึงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๓ค่าเช่าปีละ ๑,๖๐๐ บาท ครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป จึงบอกกล่าวให้จำเลยทราบและให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนระหัดวิดน้ำออกไป แต่จำเลยเพิกเฉยเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์ขอคิดค่าเสียหายตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๒๓ ถึงวันฟ้อง และเรียกค่าเช่าที่ด้วย อ.ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนระหัดวิดน้ำออกจากที่ดินโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๒๓ ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑,๖๐๐ บาท และค่าเสียหายนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนโรงเรือนระหัดวิดน้ำออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า บิดาโจทก์เป็นผู้แจ้งสิทธิครอบครอง แต่ได้สละสิทธิครอบครองไปนานแล้ว จำเลยเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ปลูกต้นไม้และขุดบ่อปลามาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๕ โดยโจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้อง จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย สัญญาเช่าที่จำเลยทำให้โจทก์นั้นเพราะถูกหลอกลวงเป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ค่าเสียหายไม่ถึงตามที่โจทก์ฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่แจ้งชัดว่าละเมิดแต่เมื่อใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนระหัดวิดน้ำออกจากที่ดิน ส.ค.๑ เลขที่ ๑๗ ซึ่งเป็นของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๑,๖๐๐ บาทและค่าเสียหายจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนโรงเรือนระหัดวิดน้ำออกจากที่พิพาทในอัตราปีละ ๑,๖๐๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นที่ดินตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๑๗ มีชื่อบิดาโจทก์ เป็นผู้แจ้งการครอบครองไว้ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๔๙๘ ตาม ส.ค.๑หมาย จ.๑ และจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทำกินอยู่ในที่พิพาทในขณะที่โจทก์ฟ้อง แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า แม้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗มาตรา ๒ จะบัญญัติว่าที่ดินซึ่งมิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลใดให้ถือว่าเป็นของรัฐก็ตาม แต่ก็มีมาตรา ๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติว่าภายใต้บังคับมาตรา ๖ บุคคลใดได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธิครอบครองสืบไปและให้คุ้มครองถึงผู้รับโอนด้วย ปรากฏตาม ส.ค.๑ หมาย จ.๑ ว่า บิดาโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๕ ก่อนประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ใช้บังคับ ดังนั้นบิดาโจทก์จึงมีสิทธิครอบครองที่พิพาทสืบต่อมาได้ ภายหลังที่ได้ประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และเมื่อบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมสิทธิครอบครองที่พิพาทก็ตกทอดมาเป็นของโจทก์ซึ่งเป็นบุตรและสิทธิของโจทก์ในฐานผู้รับโอนทางมรดกนี้ก็ได้รับการคุ้มครองจากประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๔ ดังกล่าวแล้วกรณีไม่อาจนำประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๒ มาใช้บังคับแก่ที่ดินที่มีสิทธิครอบครองมาก่อนประกาศใช้บังคับประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ดังที่จำเลยยกขึ้นฎีกาได้ การที่โจทก์ให้ ส.เช่าที่พิพาทมาก่อน และต่อมาก็ให้จำเลยเช่าที่พิพาทตลอดมานั้น เป็นการกระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์ในที่พิพาทในฐานะที่โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองอย่างหนึ่งเท่านั้น มิใช่การกระทำที่โจทก์ประสงค์จะสละการครอบครอง การที่บุคคลจะมีสิทธิครอบครองในที่ดินนั้นอาจเกิดขึ้นโดยบุคคลนั้นเข้ายึดถือที่ดินนั้นโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ ก็ได้ หรือโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้ตามมาตรา ๑๓๖๘ก็ได้ และการที่จะมอบให้ผู้อื่นยึดถือไว้ให้หรือมอบให้ครอบครองแทนนี้ มาตรา ๑๓๖๘ ก็มิได้กำหนดแบบแห่งการมอบหมายไว้แต่อย่างใด อาจเป็นเพียงการมอบให้ดูแลรักษาการให้อาศัย การให้เช่า หรือการกระทำอื่นใดก็ได้สุดแต่เจตนาระหว่างคู่กรณีสำคัญดังนั้น การที่โจทก์ให้จำเลยเช่าที่พิพาท โจทก์ก็ยังเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทอยู่โดยจำเลยเป็นผู้ยึดถือไว้ให้ จำเลยเป็นเพียงผู้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยจะอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทขึ้นใช้ต่อสู้กับโจทก์โดยมิได้มีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๘๑ หาได้ไม่
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งจำเลยเช่าจากโจทก์มีกำหนดเวลาเช่า ๓ ปี นับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๐ ถึงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๓ อัตราค่าเช่าปีละ ๑,๖๐๐ บาท เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ คำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนี้เป็นกล่าวอ้างว่าการที่จำเลยคงอยูในที่พิพาทต่อมาภายหลังที่ครรบกำหนดสัญญาเช่าและโจทก์ได้บอกกล่าวแล้วนั้น เป็นการอยู่ต่อมาโดยไม่มีสิทธิที่จะอยู่ได้ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๒๓ ภายหลังที่ครบกำหนดตามสัญญาเช่าที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้นั้นเองซึ่งคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไปอยู่แล้ว ฟ้องโจทก์จึงมิได้เป็นฟ้องเคลือบคลุม
พิพากษายืน