คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4118/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อมีคำพิพากษาให้จำเลยร่วมรับผิดชำระหนี้ 1,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย คดีถึงที่สุด คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายจำเลยจะโต้เถียงว่าไม่ได้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่ ต้องถือว่าเป็นหนี้ที่แท้จริงและถูกต้อง เมื่อไม่สามารถบังคับคดีเนื่องจากสืบหาทรัพย์สินของจำเลยไม่พบ และโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ไม่น้อยกว่าสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า30 วัน จำเลยไม่ชำระจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว เมื่อจำเลยไม่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่า 50,000 บาทเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนและจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งไม่มีเหตุอื่นที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา โดยจำเลยทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันจะต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองทราบคำบังคับแล้วไม่ชำระหนี้ เมื่อโจทก์ดำเนินการบังคับคดีก็ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินที่จะนำยึดมาชำระหนี้ได้นอกจากนั้นจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าสองครั้งและมีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ซึ่งคำนวณถึงวันฟ้องเป็นจำนวน 2,448,496.82 บาทจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์มีกำหนดจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่า 50,000 บาทและมีพฤติการณ์แสดงว่าเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า หนี้ตามคำพิพากษานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1เด็ดขาด และพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2เด็ดขาด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 2 ฎีกาว่ามูลหนี้อันเกิดจากสัญญาค้ำประกันตามคำพิพากษาของศาลแพ่งเป็นมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะการส่งหมายสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 2ไม่ได้ส่งไปยังภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่มีโอกาสต่อสู้คดี ลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2และตามวันที่ระบุในสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2 มีอายุเพียง 19 ปีเห็นว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระหนี้จำนวน 1,000,000บาท พร้อมดอกเบี้ย คดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 เมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีล้มละลาย จำเลยที่ 2จะโต้เถียงว่าไม่ได้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่ ต้องถือว่าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ที่แท้จริงและถูกต้อง เมื่อโจทก์ไม่สามารถบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 2 ได้เนื่องจากสืบหาทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ไม่พบและโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.7และ จ.8 จำเลยที่ 2 ไม่ชำระจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยที่ 2มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา8(5) (9) จำเลยที่ 2 ไม่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่า 50,000บาท เป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนและจำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งไม่มีเหตุอื่นที่ไม่สมควรให้จำเลยที่ 2 ล้มละลายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share