คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4112/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลย่อมกระทำการเองไม่ได้ความประสงค์หรือวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ย่อมแสดงออกโดย จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และเป็นผู้แทน ของจำเลยที่ 1 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานตั้งโรงงานและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตถือได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดฐานนั้นด้วยศาลลงโทษจำเลยทั้งสามเป็นรายตัวได้ และแม้จำเลยที่ 1เสียค่าปรับแล้ว ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1ศาลลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ไม่เป็นการซ้ำซ้อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันตั้งโรงงานทำถังโลหะบรรจุน้ำ อันเป็นโรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์โลหะการทำภาชนะบรรจุขึ้นที่โรงงานอาคารเลขที่ 71 หมู่ที่ 3ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยจำเลยทั้งสามไม่ได้รับใบอนุญาตตั้งโรงงานจากปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หรือจากผู้ซึ่งปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมายให้ออกใบอนุญาตและจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันประกอบกิจการโรงงาน ทำการผลิตถังโลหะบรรจุน้ำขึ้นที่โรงงานอาคารเลขที่ ดังกล่าว เพื่อประโยชน์ทางการค้าของจำเลยทั้งสาม โดยจำเลยทั้งสามไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 มาตรา 5, 8, 12, 43, 44 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรื้อถอนเครื่องจักรที่ติดตั้งไว้ และหยุดประกอบกิจการโรงงานจนกว่าจะได้รับใบอนุญาต
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 มาตรา 5, 8, 12, 43, 44 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 ลงโทษตามข้อหาตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตปรับคนละ 50,000 บาท และลงโทษตามข้อหาประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 4 เดือนปรับจำเลยทั้งสามคนละ 50,000 บาท รวมให้จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3คนละ 4 เดือน และปรับจำเลยทั้งสามคนละ 100,000 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 2 เดือน และปรับคนละ 50,000 บาทโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 เห็นสมควรรอไว้มีกำหนดคนละ 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ในกรณีจำเลยทั้งสามไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนเครื่องจักรที่ติดตั้งไว้ และหยุดประกอบกิจการโรงงานจนกว่าจะได้รับอนุญาต
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า โทษตามข้อหาตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตปรับคนละ 20,000 บาท และโทษปรับตามข้อหาประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับจำเลยทั้งสามคนละ20,000 บาท รวมโทษปรับจำเลยทั้งสามคนละ 40,000 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงปรับคนละ 20,000 บาท นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1และกระทำการในนามของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล เมื่อศาลลงโทษจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าปรับไปแล้ว ศาลลงโทษจำเลยที่ 2และที่ 3 อีกจะเป็นการลงโทษซ้ำซ้อนหรือไม่ เห็นว่าการที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยทั้งสามว่า ร่วมกันกระทำผิดฐานตั้งโรงงานและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพตามฟ้อง โดยที่จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 เช่นนี้ กรณีถือว่าจำเลยทั้งสามรับสารภาพว่าร่วมกันตั้งโรงงานและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้องของโจทก์ เพื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลยเป็นรายบุคคล และจำเลยที่ 1 ได้เสียค่าปรับไปแล้วก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 แม้เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1และกระทำในนามของจำเลยที่ 1 ก็ตามก็ถือว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยเพราะจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลย่อมกระทำการเองไม่ได้ ความประสงค์หรือวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ย่อมแสดงออกโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้แทน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานใดได้ชื่อว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำผิดฐานนั้นด้วย ดังนั้น ศาลลงโทษจำเลยทั้งสามเป็นรายตัวได้ และแม้จำเลยที่ 1 เสียค่าปรับแล้วศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3ได้ไม่เป็นการซ้ำซ้อนแต่ประการใด
พิพากษายืน

Share