แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209อยู่ที่มีเหตุสมควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณานั้น มาศาลไม่ได้หรือไม่ เท่านั้น
ในวันนัดสืบพยานจำเลยการที่ทนายจำเลยทราบวันและเวลานัดพิจารณาแล้วมิได้มาศาลตามนัด แม้ศาลให้โอกาศรออยู่อีก 1 ชั่วโมงกับ 40 นาที ก็ยังไม่มาศาลเช่นนี้ทนายจำเลยจะอ้างว่าตัวความหรือพยานยังไม่มาพบกับตนจึงยังไม่มาศาลเช่นนี้ เป็นข้ออ้างที่ไม่สมควรอย่างยิ่งและถ้ายอมให้อ้างกันได้เช่นนี้ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้มีการประวิงคดีได้โดยง่าย เมื่อเป็นเรื่องที่ทนายจำเลยจะมาให้ทันนัดของศาลก็มาได้หากเห็นไม่สำคัญจึงไม่มาเช่นนี้ ไม่ถือว่า ‘มีเหตุสมควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดนั้นมาศาลไม่ได้’ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209กรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้มีการพิจารณาคดีใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้กับดอกเบี้ย จำเลยต่อสู้ว่าชำระแล้วแต่ใบรับเงินหาย ศาลกะให้จำเลยนำสืบก่อน นัดสืบพยานจำเลยวันที่ 31 ต.ค. 2500 เวลา 9 น.โจทก์จำเลยเซ็นทราบกำหนดนัดนี้แล้ว
ถึงวันนัด โจทก์ฝ่ายเดียวมาศาล ๆ รออยู่จนเวลา 10.40 น. ตัวจำเลยหรือทนายจำเลยหรือพยานจำเลย ไม่มีใครมาศาลเลย ศาลจึงสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา ให้งดสืบพยานจำเลย โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบ ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันนั้นเวลา 13 น.
วันเดียวกันนั้นเวลา 11 น.เศษ ทนายจำเลยมายื่นคำร้องขอเลื่อนอ้างว่าตัวจำเลยแขนหักไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลกลางยังไม่หาย และว่าเหตุที่ทนายจำเลยมายื่นคำร้องล่าช้า เนื่องจากติดตามหาพยานศาลสั่งคำร้องนี้ว่า ศาลได้สั่งให้ฝ่ายจำเลยขาดนัดพิจารณาไปแล้วให้รวมสำนวนไว้ พอเวลา 13 น. จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 อ้างเหตุว่า ที่นายจำเลยมายื่นคำร้องขอเลื่อนช้าไปเพราะรอตัวจำเลยและพยานอยู่ที่บ้านจน 10 น.เศษ ภริยาจำเลยจึงได้นำใบรับรองแพทย์มาแจ้งว่าจำเลยมาศาลไม่ได้พยานอื่นที่มาจึงกลับไป จำเลยมิได้จงใจขาดนัด ทั้งเวลาล่วงไปเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ศาลสั่งว่า ได้มีคำสั่งให้ขาดนัดไปเสียแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ต้นเงิน 25,000 บาท กับดอกเบี้ยที่ค้าง 4 เดือน โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาที่ไม่ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยเต็มตามฟ้อง
สำหรับคำร้องของทนายจำเลยฉบับหลัง ศาลจดรายงานว่า เมื่ออ่านคำพิพากษาแล้วทนายจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ทนายโจทก์แถลงคัดค้านศาลสั่งไต่สวนคำร้องของฝ่ายจำเลยที่ขอให้พิจารณาคดีใหม่ เมื่อไต่สวนแล้วศาลชั้นต้นเห็นว่า รับฟังไม่ได้ว่าทนายจำเลยมาศาลล่าช้ากว่ากำหนดนัดเพราะเหตุใด และฟังไม่ได้ว่ามีเหตุสมควรเชื่อว่าทนายจำเลยมาศาลก่อนเวลาที่ศาลจะสั่งให้ฝ่ายจำเลยขาดนัดไม่ได้ ไม่มีเหตุที่จะควรสั่งให้มีการพิจารณาคดีใหม่ จึงให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า กรณีมีเหตุผลอันสมควรเชื่อได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่ขาดนัดมาศาลไม่ได้ จึงอนุญาตให้มีการพิจารณาคดีใหม่กับให้งดการบังคับคดีไว้และคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยจำเลยขาดนัดพิจารณานั้น ให้เป็นอันเพิกถอน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีข้อวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 ว่ามีเหตุสมควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณานั้นมาศาลไม่ได้หรือไม่ เท่านั้น การที่ทนายจำเลยทราบวันและเวลานัดพิจารณาแล้วมิได้มาศาลตามนัด แม้ศาลให้โอกาสรออยู่อีก 1 ชั่วโมงกับ 40 นาที ก็ยังไม่มาศาลเช่นนี้ มีเหตุสมควรเชื่อว่าทนายจำเลยมาศาลไม่ได้ในระหว่างนั้นหรือไม่ ถ้ามีเหตุสมควรเชื่อได้ ก็ชอบที่จะอนุญาตให้มีการพิจารณาคดีใหม่ แต่ถ้าไม่มีเหตุสมควรเชื่อได้เช่นนั้น ก็ต้องถือว่าไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะพึงอนุญาตให้มีการพิจารณาคดีใหม่ศาลฎีกาพิจารณาคำร้องฉบับแรกที่ขอเลื่อนคำร้องฉบับหลังที่ขอให้พิจารณาคดีใหม่ กับที่ทนายจำเลยเบิกความเป็นพยานในการไต่สวนแล้วฟังเอาแน่ไม่ได้ว่าทนายจำเลยมาศาลล่าช้ากว่ากำหนดนัดเพราะเหตุใดกลับแสดงชัดว่าทนายจำเลยจงใจถือเอาความสะดวกหรือประโยชน์ของตนสำคัญยิ่งกว่าเวลานัดของศาลกล่าวคือ เมื่อถึงเวลาจะมาศาลตามนัดแม้ตัวจำเลยและพยานยังไม่มาพบกับตน ก็ชอบที่ทนายจำเลยจะต้องไปให้ถึงศาลตามนัด แล้วเมื่อหาตัวจำเลยและพยานที่ศาลไม่ได้อย่างไรก็จัดการให้คนไปติดตามหรือร้องขอต่อศาลอย่างใดให้เป็นไปตามกระบวนความ จึงจะชอบด้วยทางปฏิบัติทั่ว ๆ ไป ทนายจำเลยจะอ้างว่าตัวความหรือพยานยังไม่มาพบกับตนจึงยังไม่มาศาลเช่นนี้ เป็นข้ออ้างที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง และถ้าอ้างกันได้เช่นนี้ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้มีการประวิงคดีได้โดยง่าย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทนายจำเลยจะมาให้ทันนัดของศาลก็มาได้ หากเห็นไม่สำคัญจึงไม่มาต่างหาก และตามบทวิเคราะห์ศัพท์ใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ก็ถือว่า ในการดำเนินกระบวนพิจารณาทนายความได้ชื่อว่าเป็นคู่ความด้วย จึงฟังไม่ได้ว่า “มีเหตุสมควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดนั้นมาศาลไม่ได้” ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไปตามกระบวนความ