คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4097/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อกำหนดไว้ว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อภายในกำหนดตามสัญญา และได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้นำเงินที่ค้างมาชำระให้ผู้ให้เช่าซื้อภายในกำหนดระยะเวลาตามที่ระบุไว้ในหนังสือทวงถามแล้ว ผู้เช่าซื้อยังเพิกเฉย ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันยกเลิกเพิกถอนไป ปรากฏว่าแม้เช็คที่จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินทุกงวดอันถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา แต่โจทก์ก็มิได้มีหนังสือทวงถามให้นำเงินที่ค้างมาชำระ ยังคงปล่อยให้จำเลยครอบครองใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าซื้อต่อไป แสดงว่าโจทก์ยังคงให้โอกาสจำเลยปฏิบัติตามสัญญา สัญญาข้อนี้จึงเป็นการกำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของผู้ให้เช่าซื้อแต่ฝ่ายเดียว หาได้มีผลเป็นการแสดงเจตนาเลิกสัญญาของผู้เช่าซื้อด้วยไม่ เพราะจำเลยผู้เช่าซื้อสามารถเลิกสัญญาได้ด้วยการส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนที่ดินแก่โจทก์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 573 กำหนดให้เป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ ดังนั้น จำเลยคงต้องรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ตามเช็คพิพาทในมูลหนี้ค่าเช่าซื้อที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขายโสธร ฉบับละ 125,000 บาทจำนวน 7 ฉบับ รวมเป็นเงิน 875,000 บาท มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ส่งมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์นำไปเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงินตามวิธีการของธนาคาร แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 875,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งเจ็ดฉบับแก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถขุดไฮดรอลิก ในวันทำสัญญาเช่าซื้อจำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อบางส่วนแก่โจทก์ ที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวด งวดละ 125,000 บาท และได้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งเจ็ดฉบับชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2538โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยยึดรถขุดคันที่เช่าซื้อคืนไปตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2538แล้ว การที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คไม่ทำให้โจทก์เสียหาย เพราะเช็คพิพาทสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อที่มีการบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอีก หากโจทก์นำรถพิพาทออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 30,000 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 750,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายเช็คล่วงหน้าเป็นค่าเช่าซื้อตามจำนวนงวด โจทก์และจำเลยทั้งสองถือเอาการที่โจทก์ได้รับเงินตามเช็คเป็นการปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งในข้อ 7ระบุไว้ว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินภายในกำหนด ผู้ให้เช่าซื้อถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าว ดังนั้นเมื่อเช็คฉบับที่ 1 เอกสารหมาย จ.4ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันที หาใช่เลิกกันเมื่อวันที่16 กันยายน 2538 อันเป็นวันที่โจทก์ยึดรถคืนไม่ การที่โจทก์ครอบครองเช็คเอกสารหมาย จ.5 ถึงจ.9 ไว้หลังจากเช็คเอกสารหมาย จ.4 ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงเป็นการครอบครองโดยปราศจากมูลหนี้ โจทก์จึงมิใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยทั้งสองคงรับผิดเพียงเช็คฉบับที่ 1 เท่านั้น เห็นว่า หนังสือสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.22 ข้อ 7 กำหนดไว้ว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อภายในกำหนดตามสัญญาและได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้นำเงินที่ค้างมาชำระให้ผู้ให้เช่าซื้อภายในกำหนดระยะเวลาตามที่ระบุไว้ในหนังสือทวงถามแล้ว ผู้เช่าซื้อยังเพิกเฉยไม่นำเงินที่ค้างชำระทั้งหมดมาชำระให้ผู้ให้เช่าซื้อ ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อนเป็นอันยกเลิกเพิกถอนไปปรากฏว่าแม้เช็คที่จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อไว้ตามเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.9 ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทุกงวดอันถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา แต่โจทก์ก็มิได้มีหนังสือทวงถามให้นำเงินที่ค้างชำระมาชำระทั้งยังคงปล่อยให้จำเลยครอบครองใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าซื้อต่อไปแสดงว่าโจทก์ยังคงให้โอกาสจำเลยปฏิบัติตามสัญญา เมื่อพิเคราะห์สัญญาข้อนี้แล้วทำให้เห็นว่า ได้กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของผู้ให้เช่าซื้อแต่ฝ่ายเดียวหาได้มีผลเป็นการแสดงเจตนาเลิกสัญญาของผู้เช่าซื้อด้วยดังจำเลยอ้างไม่ เพราะหากจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อประสงค์จะเลิกสัญญา ย่อมทำได้โดยง่ายด้วยการส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 กำหนดให้เป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ ดังนั้น เมื่อจำเลยยังคงครอบครองรถขุดที่เช่าซื้ออยู่ จำเลยจึงยังคงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ใหโจทก์สำหรับเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนที่โจทก์จะยึดรถกลับคืนมาอันเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่ามีการเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกัน ทั้งนี้โดยไม่ต้องอาศัยสัญญาข้อ 9 ซึ่งกำหนดว่า หากสัญญาเช่าซื้อฉบับนี้ถูกยกเลิกเพิกถอนไปผู้เช่าซื้อตกลงยินยอมชำระค่าเช่าซื้อที่ยังค้างชำระทั้งหมดแต่อย่างใด และมิใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมดังจำเลยอ้าง เมื่อเช็คพิพาทจำเลยสั่งจ่ายตามมูลหนี้ค่าเช่าซื้อ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยจึงยังต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share