คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4083/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยไล่กอดปล้ำกระทำอนาจารและกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่ยังไม่สำเร็จความใคร่ แล้วจำเลยบังคับให้ผู้เสียหายใช้ปากกับอวัยวะเพศของจำเลยจนจำเลยสำเร็จความใคร่ การกระทำของจำเลยทุกขั้นตอนดังกล่าวเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องในคราวเดียวกันโดยความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเราผู้เสียหายนั่นเอง การกระทำอนาจารจึงเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในการกระทำชำเรา ไม่อาจแยกออกเป็นการกระทำต่างกรรมต่างเจตนา การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานกระทำชำเราซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 279, 317, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก, 279 วรรคสอง และ 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี จำคุก 7 ปี ฐานกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุก 4 ปี ฐานพรากเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจาร จำคุก 7 ปี รวมจำคุก 18 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานกระทำชำเรากับความผิดฐานกระทำอนาจารเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 7 ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ (ที่ถูกพรากเด็ก) ไปเพื่อการอนาจารแล้วเป็นจำคุก 14 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องเด็กหญิงพนิดาผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์จำเลยกลับจากเที่ยวผาถ้ำย้อยกับพวก แต่จำเลยขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวแตกจากกลุ่มเข้าไปในไร่อ้อยข้างทางพรากผู้เสียหายอายุ 13 ปีเศษ ไปเสียจากนางประบัติมารดาเพื่อการอนาจาร จอดรถไล่กอดปล้ำผู้เสียหาย โดยขู่ว่าจะใช้มีดทำร้ายผู้เสียหายให้ตายตามที่เคยเห็นในภาพข่าวฆ่าข่มขืนทางโทรทัศน์ กดตัวผู้เสียหายแนบกับพื้นดิน ถอดกางเกงชั้นนอกและกางเกงชั้นในออกจากตัวผู้เสียหาย จับถ่างขาออกจากกัน สอดอวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ชักออกดันเข้าอยู่พักหนึ่ง จึงบังคับให้ผู้เสียหายอมอวัยวะเพศของจำเลยแทนจนกระทั่งสำเร็จความใคร่ ซึ่งข้อหาความผิดฐานพรากเด็กไปเพื่อการอนาจารยุติว่าเป็นความผิดกระทงหนึ่งแล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การกระทำของจำเลยเฉพาะในความผิดข้อหาฐานกระทำชำเราและข้อหาฐานกระทำอนาจารเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า แม้เมื่อไล่กอดปล้ำพร้อมทั้งขู่ว่าจะใช้มีดทำร้ายกระทั่งผู้เสียหายจนมุม ถูกจำเลยกดตัวแนบพื้นดิน ถอดกางเกงนอกและกางเกงในออกจากตัวผู้เสียหาย จับถ่างขาออกจากกันสอดอวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ชักออกดันเข้าอยู่พักหนึ่งอันเป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายสำเร็จตามเจตนาดังที่โจทก์โต้แย้งแล้วก็ตาม แต่พื้นฐานของเจตนากระทำชำเรานั้นย่อมเกิดจากแรงบันดาลใจที่ผู้กระทำประสงค์จะระบายอารมณ์ทางเพศต่อเนื้อตัวร่างกายของหญิงผู้ถูกกระทำชำเราด้วย ดังจะเห็นได้จากพฤติการณ์ที่จำเลยไล่กอดปล้ำผู้เสียหายก่อนแล้วจึงจับตัวกดแนบพื้น ถอดกางเกงนอกและกางเกงในจับถ่างขาออกจากกัน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่กระทำอนาจารต่อเนื้อตัวร่างกายของผู้เสียหายไม่แตกต่างจากการที่จำเลยบังคับให้ผู้เสียหายอมและดูดอวัยวะเพศของจำเลยในเวลาต่อมาจนกระทั่งสำเร็จความใคร่อันเป็นขั้นตอนท้ายสุด การกระทำของจำเลยทุกขั้นตอนดังกล่าว จึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องเป็นคราวเดียวกันโดยความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเราผู้เสียหายนั่นเอง การกระทำอนาจารจึงเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในการกระทำชำเราโดยธรรมชาติ ไม่อาจแยกออกเป็นการกระทำต่างกรรมต่างเจตนาดังที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share