คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การนำสืบพยานหลักฐานถึงการเข้าเป็นคู่สัญญาของโจทก์ในการซื้อเรือประมงระหว่าง ด. กับจำเลยทั้งสองว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อด้วยหรือไม่ ไม่ใช่เป็นการนำสืบในข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาซื้อขายที่กฎหมายบังคับให้ต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือแม้เอกสารสัญญาซื้อขายจะระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อเรือศาลก็รับฟังพยานบุคคลว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อเรือได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อเรือดำรงค์ ทรัพย์ จากนายดำรงค์ วรสิงห์ เป็นเงิน 399,000 บาท โดยมีข้อตกลงกับจำเลยทั้งสองซึ่งมีกิจการท่าเรือประมงรับซื้อสัตว์ทะเลว่าจำเลยทั้งสองจะช่วยออกเงินค่าซื้อเรือให้โจทก์จำนวน 260,000 บาทและยอมให้จำเลยที่ 2 มีชื่อเป็นเจ้าของเรือตามทะเบียนจนกว่าโจทก์จะคืนเงินให้จำเลยทั้งสองครบถ้วนจึงจะโอนเรือให้เป็นชื่อของโจทก์ และมีข้อตกลงต่อไปว่า โจทก์จะต้องนำสัตว์ทะเลที่จับได้ไปขายให้แก่จำเลยทั้งสอง ในวันทำสัญญาโจทก์ได้ออกเงิน 120,000 บาทจำเลยทั้งสองออกเงิน 140,000 บาท ชำระค่าเรือไป ส่วนที่เหลือจำนวน 139,000 บาท จำเลยทั้งสองผ่อนชำระจำนวน 120,000 บาทโจทก์ผ่อนชำระจำนวน 19,000 บาท ให้แก่นายดำรงค์ หลังจากซื้อเรือแล้ว โจทก์ได้นำเรือไปจับสัตว์ทะเลไปขายให้จำเลยทั้งสองตลอดมา ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม 2528 จำเลยทั้งสองนำเรือไปขายให้แก่ผู้อื่นโดยโจทก์ไม่ยินยอม โจทก์ได้ทวงถามจำเลยให้คืนเรือดังกล่าวแก่โจทก์ หรือมิฉะนั้นก็คืนเงิน 120,000 บาท ที่โจทก์ออกเป็นค่าซื้อเรือให้แก่โจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อเรือดำรงทรัพย์จากนายดำรงค์ วรสิงห์ ราคา 380,000 บาท โดยโจทก์ไม่มีส่วนร่วมในการซื้อเรือดังกล่าว จำเลยได้มอบเรือให้โจทก์นำไปจับสัตว์ทะเลนำมาขายให้แก่จำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองออกค่าใช้จ่ายให้ก่อนแต่โจทก์ผิดสัญญานำสัตว์ทะเลไปขายให้แก่บุคคลอื่น จึงมีการหักทอนบัญชีกัน ปรากฏว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยทั้งสอง 60,000 บาท ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 120,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยดังกล่าวคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 3,073.97 ตามที่โจทก์ขอ จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามประเด็นข้อแรกว่า จำเลยทั้งสองออกเงินค่าซื้อเรือให้โจทก์หรือไม่ โจทก์มีพยานคือนายดำรงค์ วรสิงห์ ซึ่งเป็นเจ้าของเรือเดิมเบิกความว่าเรือดำรงค์ทรัพย์เลขทะเบียน ตร.2539 เดิมเป็นของพยาน ต่อมาโจทก์ติดต่อซื้อเรือลำนี้จากพยาน พยานบอกราคา 400,000 บาท ให้โจทก์วางมัดจำไว้ และให้โจทก์ออกค่าใช้จ่ายซ่อมเรือด้วย ในที่สุดพยานขายเรือให้โจทก์ในราคา 390,000 บาท ตามหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.9 เหตุที่จำนวนเงินในสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.9ระบุเพียง 380,000 บาท เพราะเงินส่วนที่เหลือพยานให้โจทก์ทำสัญญากู้ไว้ เรือดำรงค์ทรัพย์ โจทก์เป็นผู้ซื้อ จำเลยที่ 2เป็นผู้ชำระเงิน โจทก์กับจำเลยที่ 2 จะมีข้อตกลงกันอย่างไรก่อนนี้พยานไม่ทราบ ตามคำเบิกความของนายดำรงค์เจ้าของเรือเดิมว่าได้ขายเรือให้แก่โจทก์ ส่วนพยานจำเลยเป็นบุคคลภายนอกไม่มีน้ำหนักดีกว่าเจ้าของเรือ จึงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อเรือโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระเงิน ฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อเรือเองฟังไม่ขึ้น การนำสืบพยานหลักฐานของโจทก์เรื่องการซื้อเรือดังกล่าวเป็นการนำสืบถึงการเข้าเป็นคู่สัญญาของโจทก์ว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อด้วยหรือไม่ ไม่ใช่เป็นการนำสืบในข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาซื้อขายที่กฎหมายบังคับให้ ต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนี้ แม้สัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.9จะระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อเรือ ศาลก็ยังรับฟังพยานบุคคลเป็นอย่างอื่นได้”
พิพากษายืน

Share