แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทำหนังสือสัญญากู้ยืมฉบับพิพาทจากโจทก์30,000 บาท ต่อมาโจทก์แก้ไขจำนวนเงินในสัญญาเป็น60,000 บาท โดยไม่เป็นความจริง จึงเป็นเอกสารปลอมสัญญากู้ยืมฉบับพิพาทจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ กู้ยืมเงินโจทก์ 30,000 บาท เป็นหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือซึ่งจำเลยต้องรับผิดให้โจทก์ไว้ แม้ภายหลังโจทก์แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ให้สูงขึ้น ก็ไม่ทำให้หลักฐานการกู้ยืมเงินที่ทำไว้แต่เดิมและมีผลสมบูรณ์ต้องเสียไป จึงชอบที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามจำนวนเงินเท่าที่จำเลยกู้ไปจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2537 จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 60,000 บาท ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยและเวลาชำระหนี้ต่อมาโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยได้รับหนังสือแล้วเพิกเฉยโจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันจำเลยได้รับหนังสือทวงถามจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี 3 เดือน เป็นเงิน5,625 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 65,625 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 60,000 บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ 30,000 บาท โจทก์แก้ไขจำนวนเงินเป็น 60,000 บาท โดยจำเลยมิได้ยินยอม สัญญากู้เงินเป็นเอกสารปลอม เป็นโมฆะ จำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 30,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกา จำเลยในข้อกฎหมายประการเดียวว่า หนังสือสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมในการฟ้องได้ตามกฎหมายหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนไว้แล้วว่า จำเลยทำหนังสือสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.1 ยืมเงินจากโจทก์ 30,000 บาท โจทก์แก้ไขจำนวนเงินในสัญญาเป็น 60,000 บาท โดยไม่เป็นความจริง สัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.1 จึงเป็นเอกสารปลอมแล้วนำสัญญามาฟ้อง ข้อเท็จจริงได้ความดังนี้เห็นว่า สัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 จำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้กู้ยืมเงินโจทก์ 30,000 บาท เป็นหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือซึ่งจำเลยต้องรับผิดแม้ภายหลังโจทก์แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ให้สูงขึ้น ไม่ทำให้หลักฐานการกู้ยืมเงินที่ทำไว้แต่เดิมและมีผลสมบูรณ์ต้องเสียไป
พิพากษายืน