คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4033/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ผู้รับโอนสิทธิการเช่าจากเจ้าของเดิมยังไม่เคยเข้าครอบครองตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าเลย แต่จำเลยผู้ครอบครองตึกแถวพิพาทได้ทำสัญญากับโจทก์ว่าจะยอมออกจากตึกแถวพิพาทภายในเวลาที่กำหนด เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมออก จึงเป็นฝ่ายผิดนัด โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้โดยอาศัยสิทธิตามสัญญานั้น.

ย่อยาว

โจทก์ว่า โจทก์เช่าตึกแถวจากนายมาโนชญ์แล้วให้จำเลยอาศัยต่อมาจำเลยไม่ยอมออกจากตึกแถวพิพาทตามเวลาที่ตกลงกันไว้ ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากตึกแถวพิพาทกับใช้ค่าเสียหายด้วย
จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทจากนายเวช ไม่เคยขออาศัยโจทก์ โจทก์ไม่เคยครอบครองตึกแถวพิพาท จำเลยถูกข่มขู่ให้ลงชื่อในบันทึกยินยอมออกจากตึกแถวพิพาทจึงเป็นโมฆะขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวพิพาทพร้อมทั้งใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องค่าเสียหาย
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะไม่ได้เข้าครอบครองหรือเข้าไปอยู่ในตึกแถวพิพาทเลยนับแต่โจทก์ได้จดทะเบียนการเช่าจากนายมาโนชญ์เพราะจำเลยไม่ยอมขนทรัพย์สินออกไปจึงยอมให้จำเลยอาศัยต่อ ต่อมาโจทก์ได้บอกให้จำเลยออกจากตึกแถวพิพาท ครั้งสุดท้ายจำเลยขออยู่ถึงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ จำเลยจะขนย้ายออกไปจากตึกแถวพิพาท โดยจำเลยกับนางสาวเซี่ยมไน้ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้ไปทำบันทึกข้อตกลงกันที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ ซึ่งเป็นสัญญาอย่างหนึ่ง โจทก์จำเลยจึงเป็นคู่สัญญากันจำเลยจึงต้องผูกพันตามข้อสัญญาที่ทำไว้ เมื่อถึงกำหนดวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ จำเลยไม่ยอมขนย้ายออกไปจากตึกแถวพิพาทจึงเป็นฝ่ายผิดนัด โจทก์ไม่จำต้องบอกกล่าวอีก โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากตึกแถวพิพาทได้โดยอาศัยสิทธิตามสัญญา ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มขู่ให้ทำสัญญา ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายเหมาะสมแล้ว ฎีกาโจทก์จำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share