คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 403/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีมีแต่ปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 222 แต่ถ้าศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงมา ศาลฎีกาเห็นสมควรก็วินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน
ผู้ต้องโทษกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29ในระหว่างรับโทษกักขังอยู่ทำผิดข้อกำหนดตามมาตรา 27 ศาลอาจเปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจำคุกได้

ย่อยาว

คดีนี้ จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิ ฯลฯลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา 75 ให้กึ่งหนึ่ง ปรับ 211,602.24 บาท และลดโทษเพราะมีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 แห่งประมวลกฎหมายอาญาให้อีกกึ่งหนึ่งแล้วปรับจำเลยเป็นเงิน 105,801.12 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนมีกำหนด 2 ปี

ต่อมาผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสมุทรปราการผู้ควบคุมดูแลสถานที่กักขังมีหนังสือถึงศาลชั้นต้นว่า จำเลยประพฤติตนฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและวินัยของสถานที่กักขัง กับมีพฤติการณ์เป็นทำนองหาช่องทางเพื่อจะหลบหนี อาจทำความเสื่อมเสียหรือเกิดการเสียหายแก่ทางราชการ จึงขอให้เปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 27

ศาลชั้นต้นสอบ จำเลยแถลงรับว่าเป็นความจริงตามที่พนักงานควบคุมสถานที่กักขังรายงาน ศาลชั้นต้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27แห่งประมวลกฎหมายอาญา จึงมีคำสั่งให้เปลี่ยนโทษกักขังของจำเลยเป็นโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี

โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจเปลี่ยนเป็นโทษจำคุกพิพากษาให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้น บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 222 แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงมา สำหรับคดีนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อนข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2516 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร ปรับ 105,801.12 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน 2 ปี จำเลยไม่ชำระค่าปรับ ถูกกักขังแทนค่าปรับ วันที่ 25 มิถุนายน 2516 จำเลยยื่นคำร้องว่าถูกกักขังอยู่ที่สถานีตำรวจภูธร อำเภอเมืองสมุทรปราการ รวมกับคนอื่นประมาณ 60 คน สุขภาพไม่ดี ขอให้ส่งตัวจำเลยไปกักขังที่เรือนจำ ศาลชั้นต้นสั่งว่าไม่มีอำนาจสั่งตามที่จำเลยขอวันที่ 28 มิถุนายน 2516 ร้อยตำรวจเอกบุญชอบ พุ่มวิจิตร ผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสมุทรปราการมีหนังสือถึงศาลชั้นต้น แจ้งว่าจำเลยประพฤติตนฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและวินัยของสถานที่กักขัง จะหลยหนี ขอให้เปลี่ยนโทษกักขังจำเลยเป็นโทษจำคุก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 27 วันเดียวกันนั้น ศาลชั้นต้นเบิกจำเลยมาสอบถาม จำเลยรับว่าประพฤติตนตามที่ร้อยตำรวจเอกบุญชอบ พุ่มวิจิตร แจ้งต่อศาล ศาลชั้นต้นพิเคราะห์ เห็นว่า จำเลยประพฤติตนฝ่าฝืนต่อระเบียบและวินัยของสถานที่กักขัง จึงสั่งเปลี่ยนโทษกักขังจำเลยเป็นจำคุกไว้ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 27

ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ต้องโทษกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ในระหว่างรับโทษกักขังอยู่ทำผิดข้อกำหนดตามมาตรา 27 ศาลอาจเปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจำคุกได้ แต่พฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าจำเลยถูกขังมาเพียง 7 วัน เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นยังไม่สมควรเปลี่ยนโทษกักขังจำเลยเป็นโทษจำคุก ดังที่ศาลชั้นต้นสั่ง

พิพากษากลับ ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งของศาลชั้นต้นเสีย

Share