คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4025/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทในเขตประทานบัตรก็โดยอาศัยสิทธิของเจ้าของประทานบัตรคนก่อนๆ ซึ่งเข้าครอบครองทำเหมืองแร่อยู่แล้ว แม้จำเลยเข้าอยู่มาช้านานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาท เมื่อที่ประทานบัตรตกได้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเข้าทำเหมืองแร่ในเขตประทานบัตรได้ทั้งหมด โดยอาศัยสิทธิตามประทานบัตรนั่นเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยกับบริวารออกไปและห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่พิพาท ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินออกไปจากที่พิพาท ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฯ จนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่พิพาท จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยได้โดยลำพัง เพราะโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและยังมิได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาท ข้อนี้ข้อเท็จจริงรับกันว่าจำเลยเข้าอยู่ในที่พิพาทก็เพราะบริษัทไซมีสตินซินดิเคต ลิมิเต็ด ผู้ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายแรกอนุญาตให้เข้าอยู่ในฐานะคนงานของบริษัท เมื่อเขตที่ดินตามประทานบัตรได้โอนตกทอดสืบกันต่อมาไม่ขาดสายด้วยสิทธิตามประทานบัตร จำเลยคงรับจ้างเป็นคนงานของเจ้าของประทานบัตรคนต่อมา โดยไม่ทราบว่ามีการโอนกันเมื่อใดจนประทานบัตรตกได้แก่โจทก์ ดังนี้ เห็นว่าจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทในเขตประทานบัตรก็โดยอาศัยสิทธิของเจ้าของประทานบัตรคนก่อน ๆ ซึ่งเข้าครอบครองทำเหมืองแร่อยู่แล้ว แม้จำเลยเข้าอยู่มาช้านานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาท เมื่อที่ประทานบัตรตกได้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเข้าทำเหมืองแร่ในเขตประทานบัตรได้ทั้งหมดโดยอาศัยสิทธิตามประทานบัตรนั่นเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์มีอำนาจฟ้อง”

พิพากษายืน

Share